หลังการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างวานนี้ (17 มิ.ย.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ในเขตกรุงเทพฯ ส่วนจังหวัดอื่นให้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท แค่บางกลุ่มอาชีพ คือกิจการโรงแรมทั่วประเทศ ตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรม 50 ห้องขึ้นไป และกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท ในประเภทกิจการสถานบริการทั่วประเทศ ตามพ.ร.บ.สถานบริการ อาทิ คาราโอเกะ ผับ บาร์ ค็อกเทลเลานจ์ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 68
นายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องให้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ทบทวนการปรับค่าจ้างใหม่ "ค่าจ้างขั้นต่ำต้อง 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ"
นายเซีย ระบุว่า ไม่ได้คัดค้านการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ ในทางตรงกันข้ามมีแต่เรียกร้องให้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำตลอดมา แต่ทำไมการปรับขึ้นค่าจ้าง "ขั้นต่ำ" ถึงไม่ปรับขึ้นให้เท่ากัน ในทุกกิจการพร้อมกันทั่วประเทศ
โดยในปีก่อนก็ขึ้นเป็น 400 บาทเฉพาะกิจการโรงแรม 4 ดาวขึ้นไปเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวไม่กี่จังหวัดกับอีก 4 อำเภอ มาปีนี้ปรับขั้นต่ำขึ้นเป็น 400 บาททุกสาขาอาชีพแค่เฉพาะในกรุงเทพฯ กับแค่คนทำงานในกิจการโรงแรมสองดาวขึ้นไปและคนทำงานในกิจการสถานบันเทิงทั่วประเทศเท่านั้น คำถามคือแล้วคนทำงานในภาคส่วนอื่น ๆ ไม่สมควรได้รับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นกันบ้างหรือ
ในขณะที่ค่าครองชีพ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วประเทศ เช่น ราคาน้ำมันพืช ราคาเนื้อ นม ไข่ หรือค่าวัตถุดิบในประกอบอาหาร จะอยู่ที่จังหวัดไหนราคาที่ไม่ต่างกัน และยังปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันพืชแพงขึ้นกว่าเดิม 37.5%, ราคาหมูเนื้อแดงต่อกิโลกรัมแพงขึ้นกว่าเดิม 12.9%, ราคาไข่ไก่แพงขึ้นกว่าเดิม 10% แม้กระทั่งราคาก๊าซหุงต้มแบบถัง 15 กิโลกรัมก็แพงขึ้นจากเดิมกว่า 16.2%
ทั้งหมดเป็นข้อมูลข้อเท็จจริงจากกระทรวงพาณิชย์ ที่ตนได้นำมาใช้ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 69 เมื่อปลายเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา แล้วการที่คนทำงานนอกกรุงเทพฯ หรือกิจการอื่น ๆ นอกเหนือจากที่มีประกาศให้ปรับขึ้น ยังต้องซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาเท่า ๆ กัน แต่กลับไม่ได้รับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น จึงตั้งคำถามว่า ยุติธรรมแล้วหรือ
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งความกังวล คือการบังคับใช้และตรวจสอบ หากนายจ้างบางรายไม่ยอมปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นตาม ลูกจ้างก็จำเป็นต้องเป็นผู้ร้องเรียนต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้ทราบ ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นกันอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ลูกจ้างจะกล้าลุกขึ้นมารักษาสิทธิของตัวเองในสภาพเศรษฐกิจที่หางานใหม่ได้ยากลำบากเช่นนี้ และแทบไม่มีอำนาจต่อรองกับนายจ้าง และหากระบบการตรวจสอบและคุ้มครองแรงงานเชิงรุกของภาครัฐยังไม่มีประสิทธิภาพเช่นทุกวันนี้ ยิ่งเป็นความเสี่ยงสูงที่คนทำงานจะไม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด และภาครัฐก็จะไม่ทราบด้วยว่าในจังหวัดนั้น ๆ มีคนที่ยังไม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำตามสิทธิอีกจำนวนเท่าใด