SCB EIC ชี้แรงส่งศก.ไทยแผ่วเกือบทุกมิติ เพิ่มโอกาส กนง.หั่นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งปีนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday June 18, 2025 12:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า SCB EIC ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 68 ว่าจะเติบโตได้ 1.5% และยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องในปี 69 ที่คาดว่า GDP ไทยจะเติบโตได้ 1.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าที่ SCB EIC ได้เคยประเมินไว้ในช่วงต้นปี 68 ว่าจะสูงกว่า 2%

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 68 ถือว่าเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายค่อนข้างมาก โดยคาดว่า GDP ในครึ่งปีหลังอาจจะเติบโตต่ำกว่า 1% ทำให้มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) จากการส่งออก และการลงทุนที่จะแผ่วลง

ขณะที่แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวจะน้อยกว่าคาด โดยประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ จะปรับลดลงเหลือ 34.2 ล้านคน กลับมาหดตัวจากปีก่อน ตามสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนที่หดตัว และเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่าย จากผลการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า กำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศที่อ่อนลง และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ลดลง ส่งผลให้ภาคธุรกิจเลือกที่จะชะลอการลงทุน แม้ตัวเลขการขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนของ BOI ยังเพิ่มขึ้นก็ตาม

"หากมองไปข้างหน้า แรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจไทยจะแผ่วลงเกือบทุกมิติ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน ที่จะชะลอลงมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาคครัวเรือนเร่งปรับลดภาระหนี้ที่สูงขึ้นมากในช่วงก่อนหน้า (Deleveraging) ซึ่งทำให้เกิดการระมัดระวังในการใช้จ่าย นอกจากนั้น การบริโภคยังจะได้รับแรงกดดันเพิ่มเติม จากความเปราะบางด้านการจ้างงาน และรายได้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงมาก และภาวะการเงินที่ยังตึงตัว" นายยรรยง ระบุ

ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ยังคงติดลบนั้น สะท้อนตามราคาพลังงานที่ปรับลดลงต่อเนื่อง และกำลังซื้อในประเทศที่ยังซบเซา โดยประเมินว่าเงินเฟ้อในไตรมาส 2/68 อาจยังติดลบ ก่อนจะทยอยปรับสูงขึ้นในช่วงสิ้นปี อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อมีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบเป้าหมายต่อเนื่องไปถึงปี 2569 จากปัจจัยอุปสงค์ที่ฟื้นตัวช้า ราคาพลังงาน รวมถึงสินค้าเกษตรขยายตัวต่ำ ทั้งนี้ ความเสี่ยงจากสงครามในตะวันออกกลาง นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ทำให้เปิดทางลดดอกเบี้ยลงอีกได้ เพื่อช่วยผ่อนคลายภาวะการเงินที่ตึงตัวต่อเนื่อง

"SCB EIC ประเมิน กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ เหลือ 1.25% เพื่อช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตต่ำกว่าศักยภาพค่อนข้างมาก เงินเฟ้อหลุดขอบล่างของกรอบนโยบายการเงิน (1-3%)" นายยรรยง ระบุ

ประกอบกับคุณภาพสินเชื่อยังด้อยลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภาวะการเงินในช่วงที่ผ่านมา มีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง ที่ยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง และค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับคู่ค้าสำคัญแข็งค่าขึ้นมาอยู่ใกล้กับระดับในปี 2540

นายยรรยง มองว่า แม้ประสิทธิภาพของการลดดอกเบี้ยในสถานการณ์ปัจจุบัน จะมีข้อจำกัดจากเศรษฐกิจที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง และความไม่แน่นอนสูง แต่จะมีส่วนช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ ลดภาระการชำระหนี้ของลูกหนี้ และเอื้อต่อกระบวนการ Deleveraging ของภาคธุรกิจและครัวเรือน

ขณะที่ความกังวลต่อผลกระทบของการลดดอกเบี้ยลงมาก ที่อาจยิ่งทำให้ภาคครัวเรือนก่อหนี้มากเกินไปนั้น น่าจะลดทอนได้จากความระมัดระวังของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ และทางการสามารถออกมาตรการ Macro prudential เพิ่มเติม หากพิจารณาเห็นการเพิ่มขึ้นของหนี้ในจุดที่ไม่เหมาะสม

สำหรับงบประมาณโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ในวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ทดแทนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น นายยรรยง กล่าวว่า แม้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตรงจุดมากขึ้น แต่ผลต่อเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นช้ากว่า และอาจยังไม่เพียงพอ โดย SCB EIC ประเมินว่าแรงส่งเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายงบประมาณในปี 69 จะแผ่วลง ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทย มีแนวโน้มขึ้นไปชนเพดานที่ 70% ของ GDP ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดของการเพิ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า หากไม่มีการปฏิรูปด้านการคลังควบคู่ไปด้วย


ด้านนายปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC กล่าวว่า SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวเพียง 2.3% ในปี 68 และ 69 ชะลอลงจาก 2.8% ในปีก่อน เป็นผลจากสงครามการค้า และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นมาก โดยการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยลบด้านอุปทานต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว และเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น

ขณะที่ประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเผชิญกับปัจจัยลบด้านอุปสงค์ จากการส่งออก และเงินเฟ้อที่ชะลอลง และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความผันผวนในตลาดการเงิน กระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ส่งผลให้มีการลดหรือชะลอการลงทุนและการใช้จ่ายออกไป

นายปุณยวัจน์ มองว่า ผลกระทบด้านการค้าระหว่างประเทศและการลงทุน จะรุนแรงและชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 68 เป็นต้นไป หลังจากที่หลายประเทศได้เร่งผลิตและส่งออกไปก่อนได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ โดย SCB EIC มองว่า การเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าอาจยืดเยื้อไม่เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา ผนวกกับกระบวนการทางกฏหมายภายในของสหรัฐฯ ต่อประเด็นอำนาจของประธานาธิบดีในการใช้นโยบายภาษีนำเข้า จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า ยังอยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความผันผวนในตลาดการเงิน จากความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อสินทรัพย์ในรูปดอลลาร์สหรัฐ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น ความเชื่อมั่นต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่ลดลงจากหลายปัจจัย ทั้งความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นมากจนนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ รวมถึงความพยายามในการแทรกแซงธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวปรับสูงขึ้นมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า

ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น จากสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ปะทุขึ้น แม้ในระยะสั้นอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นไม่มากนัก จากอุปทานส่วนเกินที่ยังมีมาก แต่หากความขัดแย้งขยายวง และกระทบต่อแหล่งอุปทานในตะวันออกกลาง ก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มความเปราะบางให้กับเศรษฐกิจโลกได้

ทั้งนี้ ธนาคารกลางหลักส่วนใหญ่มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ในความเร็วที่ต่างกัน ตามทิศทางเงินเฟ้อเป็นสำคัญ โดย SCB EIC ประเมินว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง หรือ 0.25% ในช่วงปลายปีนี้ และลดดอกเบี้ยอีกเพียง 2 ครั้ง หรือครั้งละ 0.25% ในปี 69 เนื่องจากยังมีความเสี่ยงเงินเฟ้อสูงจากกำแพงภาษี และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

ขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1% ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) วัฏจักรการลดดอกเบี้ยใกล้สิ้นสุด โดยในปีนี้ได้ปรับลดดอกเบี้ยไปแล้ว 1% และมีแนวโน้มจะลดอีก 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่ต่ำลง


น.ส.ปราณิดา ศยามานนท์ ผู้อำนวยการ ผู้บริหารฝ่าย Industry Analysis ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC กล่าวว่า ภาคธุรกิจไทยยังมีทิศทางชะลอตัวและเผชิญความไม่แน่นอนมากขึ้น จากความเสี่ยงหลายด้านที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี และผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงสงครามความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ปะทุขึ้นมา จะส่งผลกดดันราคาพลังงานให้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง

นอกจากนี้ ปัญหาการทะลักเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีน คาดว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ทั้งในกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออก และกลุ่มที่ผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศ

น.ส.ปราณิดา มองว่า การเติบโตของภาคส่งออก และกิจกรรมการผลิตในประเทศเพื่อการส่งออก ที่ไม่สอดคล้องกันชัดเจน อาจสะท้อนถึงบทบาทของธุรกิจที่มีสัดส่วนการนำเข้าสูง (High import content) และธุรกิจสวมสิทธิ์ (ธุรกิจที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่ 3 เพื่ออ้างอิงแหล่งกำเนิด โดยไม่ได้มีการผลิตสินค้าจริงในประเทศ) ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อภาคธุรกิจไทยมากขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้ภาคการผลิตของไทยฟื้นตัวได้ยาก เช่น กลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์

เช่นเดียวกันกับกลุ่มที่พึ่งพากำลังซื้อภายในประเทศ ที่ยังเผชิญปัญหาความเปราะบางของภาคครัวเรือน ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจสำคัญ อาทิ ยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง กลายเป็นแรงฉุดการฟื้นตัวของธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอนนี้ ยังมีบางกลุ่มย่อย (Subsegment) ของธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้ จากการปรับตัวพัฒนาสินค้าและบริการ ให้ยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคศักยภาพสูง อาทิ ธุรกิจที่เน้นนักท่องเที่ยวกลุ่มเติบโตใหม่ ธุรกิจที่มีสินค้าและบริการมีเอกลักษณ์เฉพาะ กลุ่มที่ตอบโจทย์เมกะเทรนด์ ได้แก่ เทรนด์ Health and wellness, เทรนด์ความยั่งยืนโลก ยังเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตได้ดีท่ามกลางวิกฤติ



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ