พาณิชย์ จับตาสงครามใกล้ชิดผวาปิดช่องแคบฮอร์มุซทำ ศก.ไทยกระทบหนัก "ส่งออก-เงินเฟ้อ"

ข่าวเศรษฐกิจ Monday June 23, 2025 18:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พาณิชย์ จับตาสงครามใกล้ชิดผวาปิดช่องแคบฮอร์มุซทำ ศก.ไทยกระทบหนัก

กระทรวงพาณิชย์ จับตาใกล้ชิดสงครามอิสราเอล-อิหร่านหวั่นลุกลามปิดช่องแคบ "ฮอร์มุซ" เส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญด้านการขนส่งทางทะเล ส่อกระทบราคาพลังงานโลก ต้นทุนการขนส่งสินค้า ไทยไม่พ้นติดบ่วงกระทบแน่ทั้งส่งออก-เงินเฟ้อ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เปิดฉากปฏิบัติการ "Rising Lion" เมื่อ 13 มิ.ย. 68 เป้าหมายเพื่อลดทอนศักยภาพทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน อิสราเอลยังคงเดินหน้าโจมตีเป้าหมายต่าง ๆ ของอิหร่านอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อิหร่านตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธและโดรนเข้าไปในดินแดนอิสราเอล

ล่าสุดสถานการณ์ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นมาก หลังจากเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 68 สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานนิวเคลียร์สำคัญของอิหร่าน 3 แห่ง ในเมืองฟอร์โดว์ นาทานซ์ และอิสฟาฮาน ขณะที่อิหร่านประกาศพร้อมตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง และยังคงยืนกรานจะไม่ยุติโครงการพัฒนานิวเคลียร์ ในขณะเดียวกันรัฐสภาอิหร่านลงมติสนับสนุนให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ

แม้ว่ามติดังกล่าวยังต้องได้รับการอนุมัติจากสภาความมั่นคงสูงสุดแห่งชาติและผู้นำสูงสุดอิหร่านก่อน แต่สัญญาณความตึงเครียดดังกล่าวทำให้ช่องแคบที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์นี้กลายเป็นจุดที่ทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด


  • ความสำคัญของ "ช่องแคบฮอร์มุซ"

ช่องแคบ "ฮอร์มุซ" เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่า ช่องแคบฮอร์มุซ ตั้งอยู่ระหว่างประเทศโอมานและอิหร่าน เชื่อมต่อระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับทะเลอาหรับ ในปี 67 ถูกใช้เป็นช่องทางขนส่งน้ำมันเฉลี่ย 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 25% ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลก หรือคิดเป็น 20% ของการบริโภคปิโตรเลียมเหลวทั่วโลก

นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางเดินเรือเพื่อส่งออกสินค้าสำคัญของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเกือบทั้งหมดในตะวันออกกลาง ทั้งซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน กาตาร์ บาห์เรน และคูเวต สะท้อนให้เห็นว่า ช่องทางดังกล่าวเป็นเส้นทางน้ำที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง กับตลาดสำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดเอเชีย

ทั้งนี้ EIA ประเมินว่า ในปี 2567 มีน้ำมันดิบและก๊าซ LNG ถึง 84% ที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซไปยังตลาดเอเชีย ดังนั้น หากอิหร่านตัดสินใจขัดขวางการขนส่งบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการขนส่งน้ำมัน เนื่องจากเรือบรรทุกน้ำมันต้องหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น เช่น การอ้อมผ่านทวีปแอฟริกา ซึ่งจะผลักดันให้ราคาพลังงาน และอัตราเงินเฟ้อโลกเพิ่มขึ้น และกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง


  • จับตาความเสี่ยงราคาพลังงานโลก-ต้นทุนค่าขนส่งสินค้า

ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนดังกล่าว ได้สร้างความเสี่ยงให้กับตลาดพลังงานโลก สะท้อนจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ผันผวน และปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือน หลังสหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน โดยนับตั้งแต่หลังการโจมตีของอิสราเอลในวันที่ 13 มิ.ย. จนถึงปัจจุบันราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 13%

ในขณะที่ Goldman Sachs ประเมินความเสี่ยงว่า หากการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซลดลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 1 เดือน และยังคงลดลง 10% ต่อเนื่องไปอีก 11 เดือนข้างหน้า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจพุ่งขึ้นในระยะสั้นแตะระดับสูงสุดที่ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล จากนั้นจะปรับลดลง โดยราคาน้ำมันเบรนท์จะอยู่ที่ประมาณ 95 ดอลลาร์/บาร์เรลในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

ในอีกกรณีหนึ่ง หากอุปทานน้ำมันดิบของอิหร่านลดลง 1.75 ล้านบาร์เรล/วัน เป็นเวลา 6 เดือน อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ พุ่งสูงสุดที่ 90 ดอลลาร์/ต่อบาร์เรล ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดลงมาเหลือ 60 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปี 2569 ทั้งนี้ Goldman Sachs มองว่า ความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซในปี 2568 อยู่ที่ 52%

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์รุนแรงในตะวันออกกลาง ยังส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จากค่าขนส่งและค่าเบี้ยประกันภัยขนส่งทางทะเลที่สูงขึ้น นำไปสู่การพุ่งขึ้นของอัตราค่าระวางเรือทั่วโลก หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นต่อเนื่อง อาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักในวงกว้าง เช่น ข้อมูลจาก Marsh McLennan บริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกระบุเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ได้ปรับราคาค่าธรรมเนียมสำหรับเรือที่ต้องการเดินทางผ่านอ่าวเปอร์เซียขึ้นจากราคาปกติ 0.125% เป็น 0.2% หลังอิสราเอลโจมตีอิหร่าน

"การปิดช่องแคบฮอร์มุซดังกล่าว ส่งผลกระทบโดยตรงอย่างมากต่อไทย ที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ แม้ว่าไทยจะไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง ที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก" ผู้อำนวยการ สนค.ระบุ

ในปี 2567 ไทยนำเข้าพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูป) มูลค่า 45,902.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง มูลค่า 24,139.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 52.6% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย แหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ คูเวต และโอมาน โดยนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์เป็นหลัก


  • ปิดช่องแคบฮอร์มุซ กระทบไทยแน่ "ส่งออก-เงินเฟ้อ"

นายพูนพงษ์ ระบุว่า หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด อุปทานน้ำมันดิบกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ จะได้รับผลกระทบ และหากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจนำมาสู่การเผชิญราคาน้ำมันและค่าพลังงานที่พุ่งสูง ซึ่งมีผลโดยตรงทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงมีสัดส่วนน้ำหนักถึง 9.57% ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ

นอกจากนี้ การปิดกั้นช่องทางขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบแห่งนี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางค่อนข้างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่สินค้าไทยจะขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซไปยังท่าเรือ Jebel Ali ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าไปยังตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ ทั้งนี้ การส่งออกของไทยบางสินค้า อาจได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เช่น สินค้าส่งออกที่เกี่ยวกับน้ำมัน ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซปิโตรเลียมเหลว

ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางในปัจจุบัน มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงแรก โดยความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะขัดขวางการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ มีสูงกว่าช่วงสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และการต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรที่เริ่มตั้งแต่ปี 2566 เนื่องจากปัจจุบันเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประกอบกับการที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในการกดดันจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทางอ้อมผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน หรือต้นทุนการขนส่ง เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในวิกฤตการณ์ทะเลแดงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ดังนั้น ทุกฝ่ายจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงพาณิชย์ จะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเฝ้าระวังและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ