ครม.ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1.15 แสนลบ. คาดดัน GDP โตเพิ่ม 0.4%

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday June 24, 2025 12:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ครม.ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1.15 แสนลบ. คาดดัน GDP โตเพิ่ม 0.4%

คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้วงเงินงบประมาณกว่า 1.15 แสนล้านบาท จากงบกลางวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท แบ่งเป็น


- ด้านโครงการสร้างพื้นฐานวงเงินประมาณ 85,000 ล้านบาท แยกเป็น โครงการน้ำ โดยคาดว่าจะทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 192.22 ล้านลูกบาศก์เมตร ในภาพรวมมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 4,791,974 ไร่ ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 906,803 ครัวเรือน และสามารถสร้างการจ้างงานได้ 73,807 คนต่อเดือน

ส่วนโครงการคมนาคม คาดว่า จะสามารถพัฒนาถนนในภาพรวมได้ 417 กิโลเมตร ซ่อมบำรุง ปรับปรุง และยกระดับเส้นทางได้ 1,689 แห่ง อำนวยความปลอดภัยได้ 3,604 แห่ง และสามารถสร้างการจ้างงานได้ 2.85 แสนคน

ครม.ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1.15 แสนลบ. คาดดัน GDP โตเพิ่ม 0.4%

- ด้านการท่องเที่ยว วงเงินรวม 10,053 ล้านบาท ได้แก่ การปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องน้ำ ห้องพัก สถานที่ ป้ายบอกทาง, การพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว, การพัฒนาและยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว อาทิ การติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ และการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรอง

โดยคาดว่า จะสนับสนุนให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 2,766,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 55,059 ล้านบาท และมีประชาชนได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงเส้นทางเพื่อการท่องเที่ยวประมาณ 7.6 ล้านคน

ครม.ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1.15 แสนลบ. คาดดัน GDP โตเพิ่ม 0.4%

- ด้านลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล วงเงินรวม 11,122 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่

1) ด้านการเกษตร วงเงิน 160 ล้านบาท ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6,000 บาทต่อไร่ต่อปี ช่วยให้สถาบันเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 320,000 บาทต่อปี

2) ด้านแรงงาน วงเงิน 10,000 ล้าน บาท ช่วยบรรเทาผลกระทบให้แรงงาน และผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาก่อนเป็นลำดับแรก ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อให้สถานประกอบการกว่า 1,700 แห่ง ซึ่งสนับสนุน การจ้างงานประมาณ 1 แสนคน

3) ด้านดิจิทัล วงเงิน 962 ล้านบาท มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ภาคเกษตรกรรม และการให้บริการประชาชน กว่า 20,000 ราย


- ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ จำนวน 9,201 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) วงเงิน 4,000 ล้านบาท (2) ทุนมนุษย์ด้านการศึกษา วงเงิน 3,641 ล้านบาท และ (3) พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน วงเงิน 1,560 ล้านบาท


นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า แผนการขับเคลื่อนฯ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการเร่งรัดการใช้จ่ายผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยเม็ดเงิน 115,375 ล้านบาท จะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ผ่านการลงทุนในทุนมนุษย์และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว

ทั้งนี้ ในระยะต่อไป คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และจะพิจารณากำหนดนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่อไป


*สภาพัฒน์ คาดเม็ดเงินกระตุ้น 1.15 แสนลบ. ดัน GDP โตเพิ่ม 0.4%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุม ครม. วงเงิน 1.15 แสนล้านบาทในวันนี้ จะเข้าไปช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ได้อีก 0.4% จากประมาณเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์คาดการณ์ไว้ล่าสุด (สภาพัฒน์ คาด GDP ปีนี้เติบโตได้ 1.3-2.3% ค่ากลาง 1.8%)

"ตัวนี้จะเข้าไปเสริมเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อีก 0.4% ...ยิ่งเบิกเข้าไปมาก ก็จะยิ่งช่วยพยุงการขยายตัวของเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเม็ดเงินในแต่ละช่วงอาจไม่พร้อมกัน แต่ถ้ารวมทั้งก้อน ก็จะได้ 0.4% เพราะสุดท้ายแล้ว การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 68 จะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกหลายตัว แต่ตัวนี้ เป็นตัวเข้ามาช่วยเสริมให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีก 0.4%...ถ้าเร่งเอาเงินออกได้เร็วในไตรมาส 4 ปีนี้ หรือไตรมาส 1 ปีหน้า ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ดีขึ้น" เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าว


ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ย้ำว่า ทุกโครงการที่ได้ผ่านการพิจารณาทั้งหมดรวม 1.15 แสนล้านบาทนั้น เป็นโครงการที่มีความพร้อม เพราะมีแผนการดำเนินงานชัดเจน และสามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ทันที ทั้งนี้ ทุกโครงการจะต้องมีการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้เริ่มมีผลผูกพันภายใน 30 ก.ย.68

ส่วนวงเงินในโครงการที่ยังเหลืออีกประมาณ 4 หมื่นล้านบาท จากวงเงินรวมทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาทนั้น ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทุกโครงการที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ ได้พิจารณานั้น เป็นการพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้เงินให้เต็มวงเงินงบประมาณทั้งหมดที่มีอยู่ 1.57 แสนล้านบาท

"โครงการที่ผ่านการพิจารณา คือ ตอบโจทย์เรื่องน้ำ เรื่องการขนส่ง เมื่อพร้อมเท่านี้ ก็ออกเท่านี้ไปก่อน จากนั้นจะมีรอบที่ 2 รอบที่ 3 ที่เราจะพิจารณาต่อไป ไม่ใช่ว่ามีเท่าไร ก็ต้องใช้ให้หมด ไม่ใช่แบบนั้น เป็นการตอบโจทย์ว่าเราพิจารณาอย่างรอบคอบ" ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ


ด้านนายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า กระบวนการใช้งบประมาณของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ เป็นการใช้งบกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีข้อจำกัดว่าจะต้องก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย.68 เพื่อจะกันเงินได้อีก 1 ปี เพราะถ้าถึง 30 ก.ย.69 แล้วยังเบิกจ่ายไม่ทัน โครงการจะตกไป ดังนั้นในระหว่างนี้ ทุกภาคส่วนต้องเตรียมการเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วนโดยเร็ว

อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผ่านการคัดกรองนี้ จะเห็นว่าเป็นโครงการที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถเบิกจ่ายได้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี จึงไม่น่าเป็นห่วงว่าจะเบิกจ่ายไม่ทัน

ผอ.สำนักงบประมาณ ย้ำว่า กระบวนการทั้งหมดนี้ มีระเบียบกฎหมายกำหนดไว้ทุกขั้นตอน ซึ่งต้องดำเนินการตามกฎหมายทั้งหมดอย่างถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้กำชับว่าการดำเนินโครงการนี้ ต้องทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน และต้องโปร่งใส่ สามารถตรวจสอบได้ ทุกโครงการต้องเป็นประโยชน์และตอบโจทย์การกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ