นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งจดหมายแจ้ง 14 ประเทศว่าสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ซึ่งไทยถูกเรียกเก็บอัตรา 36% เท่ากับที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.นั้น ในข้อความระบุว่าให้แต่ละประเทศเร่งเจรจาก่อนวันที่ 1 ส.ค. เท่ากับว่าเป็นการเลื่อนเส้นตายจากวันที่ 9 ก.ค.ไปเป็นวันที่ 1 ส.ค. เนื่องจากการเจรจาต้องใช้เวลาก็เลยต้องเลื่อนออกไป
รมว.คลัง มั่นใจว่าข้อเสนอของไทยที่ยื่นไปล่าสุดจะได้รับข่าวดีกลับมา เพราะเราอธิบายได้ วัดผลได้ ดูแลปฏิบัติได้ ได้ผลที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำ ๆ หาย ๆ โดยสิ่งที่เสนอไปไม่ใช่สิ่งที่เรารับปากเฉย ๆ เท่านั้นแต่ต้องปฏิบัติได้จริง
"เราต้องใช้เวลาหลังจากนี้ทำงานให้หนักขึ้น เรามั่นใจว่าข้อมูลที่ส่งไปวันที่ 6 ก.ค. ทางผู้ปฏิบัติหรือผู้ดูแลได้รับแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่าแม้จะได้รับแล้วแต่หนังสือ (ของทรัมป์) นี้ออกมาก่อนแล้ว แต่มั่นใจว่าสุดท้ายแล้วอัตราภาษีจะเข้าสู่ที่สามารถแข่งขันได้" นายพิชัย กล่าวส่วนอัตราภาษีที่ไทยอยากได้อยู่ที่ระดับเท่าไร นายพิชัย กล่าวว่า ขอให้อยู่ในระดับที่แข่งขัน สินค้าประเภทไหนที่เราส่งออกเหมือนกันประเทศนั้น ๆ อัตราภาษีควรอยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งอัตราภาษีที่แจ้งมาในรอบนี้มี 2-3 ลักษณะ คือ อัตราภาษียืนตามเดิมที่สหรัฐฯ เคยประกาศไว้ หากประเทศใดที่เคยถูกกำหนดว่าจะเก็บเกิน 40% ก็จะได้รับการปรับลดลงมา ส่วนประเทศใดที่ถูกเรียกเก็บต่ำก็จะถูกปรับให้สูงขึ้น เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เป็นต้น
นายพิชัย กล่าวถึงกระแสข่าวว่าไทยได้เสนอลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐถึง 90% หรืออาจเรียกเก็บที่ 0% ว่า โดยปกติแล้วการทำข้อตกลงการค้าผ่านเขตการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยเข้าร่วมนั้นส่วนใหญ่ก็กำหนดเก็บภาษีกันในระดับ 0% ก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้ไม่เหมือนคนอื่น เราไม่ได้เสนอขอลดภาษีจาก 36% ไปที่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่เราทำคือความร่วมมือระหว่างกัน และในส่วนที่ไทยจะนำเข้าจากสหรัฐฯ มีอะไรบ้าง ซึ่งทางสหรัฐฯ ก็นำข้อเสนอไทยไปพิจารณาและให้คำตอบว่าอัตราภาษีควรอยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์
สำหรับกรณีที่ไทยจะเข้าร่วมกับ กลุ่ม BRICS ส่งผลต่อไทยด้วยหรือไม่ หลังสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีในกลุ่ม BRICS ด้วยนั้น ไทยเข้าไปในลักษณะเป็นพาร์ทเนอร์ แต่เข้าไปในลักษณะไปเรียนรู้ไปสังเกตการณ์มากกว่า ซึ่งคิดว่าเราคงไม่ได้เสียหายอะไรถ้าเข้าไปดูการทำงานของกลุ่ม BRICS ว่าขับเคลื่อนอย่างไร
นายพิชัย กล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะต้องทำงานอย่างหนักในระดับทำงาน และหากเรื่องใดต้องการความชัดเจน ก็พร้อมยืนยันตลอด แต่คง ไม่สามารถบอกได้ว่าสหรัฐจะตอบกลับมาเมื่อใด และทางสหรัฐจะเป็นผู้กำหนดเองว่าอัตราภาษีควรจะอยู่ที่ระดับเท่าใด
อย่างไรก็ตาม หากเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุด (worst case) สหรัฐไม่รับพิจารณาข้อเสนอของไทย นายพิขัย กล่าวว่า เราจะโดน 36% หรือไม่ยังไม่รู้ จะโดนเท่าไรไม่รู้ แต่ข้อเสนอที่เราเสนอไปเป็นข้อเสนอที่ดี บนความเปิดเผย และสิ่งที่เราให้ไปต้องทำให้แต่ละฝ่ายเข้าใจและยอมรับได้
"แน่นอนต้องมีแผนสำรองหมด ไม่ว่าจะ 36% หรือต่ำกว่า ต่อให้ต่ำกว่า 36% ก็ต้องมีแผนสำรอง เพราะการค้าขายในโลกใบนี้ต้องปรับกันใหม่ รวมถึงการเยียวยาผู้ประกอบการก็อยู่ในแผนอยู่แล้ว เพราะแม้การตัดสินใจยังไม่เกิดขึ้น แต่การส่งออกก็ชะลอไป มันจะมีผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งเราได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว" นายพิชัย กล่าวส่วนจำเป็นต้องใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจมากระตุ้นผู้ประกอบการหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ก็ต้องดูว่า มีความจำเป็นถูกที่ถูกทางหรือไม่ เพราะจริง ๆ เรายังมีแหล่งเงินอื่น ๆ มาช่วยอีก ทั้งตลาดเงินตลาดทุน
ทั้งนี้ ต้องมีการตั้งกองทุนฉุกเฉินเพื่อเยียวยาผู้ประกอบการหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ตอนนี้มีการเก็บข้อมูลแล้ว ผู้ประกอบการแต่ละรายเข้าถึงแหล่งของเงินไม่เหมือนกัน อาจไม่จำเป็นต้องเป็นกองทุนแต่เป็นแหล่งของเงินจากบางที่ แล้วแต่ชนิดของความช่วยเหลือ
นายพิชัย ยังกล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์ว่าไทยอาจจะเจรจาช้าไปว่า ไม่ได้ช้าไป และแม้ว่าตนจะเดินทางไปวันที่ 1-3 ก.ค. แต่จริง ๆ ก่อนหน้านั้นไทยได้มีการพูดคุยกับสหรัฐฯ มาตลอด มีการคุยลงรายละเอียดในแต่ละรายการสินค้า ซึ่งเวลาที่ตนเดินทางไปไม่ได้คุยเรื่องนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่มีการคุยลงรายละเอียดในรายสินค้าด้วย
ส่วนข่าวที่ออกไปวันนี้ที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36% กระทบต่อความเชื่อมั่นตลาดหุ้นเช้านี้ นายพิชัย กล่าวว่า มันเกิดความรู้สึกกับทุกประเทศคู่ค้า วันนี้ประเมินสถานการณ์ว่าหลาย ๆ ประเทศตกอยู่ในที่นั่งคล้าย ๆ เรา ก็เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำคำชี้แจง ที่ผ่านมาทุกคนก็ทำหน้าที่สุด ๆ อยู่แล้ว แต่เราเชื่อมั่นว่าด้วยความพยายามอย่างสูง และปัจจัยหลาย ๆ อย่างเอื้อทำให้ลดได้
https://youtu.be/v-zDmy7SRuU