ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรม มิ.ย. ดิ่งต่อ ต่ำสุดรอบ 8 เดือน ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา/ภาษีสหรัฐกดดัน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday July 16, 2025 10:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรม มิ.ย. ดิ่งต่อ ต่ำสุดรอบ 8 เดือน ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา/ภาษีสหรัฐกดดัน

นายนาวา จันทรสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.68 อยู่ที่ระดับ 87.7 ปรับตัวลดลงจากระดับ 88.1 ในเดือนพ.ค.68 ซึ่งเป็นผลจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา และการระงับการนำเข้าน้ำมัน และก๊าซ LNG จากไทย ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน

ด้านสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษี Sectoral Tariff ในกลุ่มสินค้าเหล็ก และอลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย, ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ส่งผลกระทบทำให้ราคาพลังงานผันผวน, การส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัว อีกทั้งการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศกดดันผู้ประกอบการ, การผลิตเพื่อส่งออกเริ่มถูกแทนที่ด้วยสินค้านำเข้า, ราคาสินค้าเกษตรหดตัวรุนแรง ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร และทำให้กำลังซื้อในภูมิภาคลดลง

รวมถึงความขัดแย้ง และความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และภาคเอกชน รวมทั้งเงินบาทแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น จากเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค และการอ่อนค่าของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ในเดือนมิ.ย.นี้ ยังคงมีปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกก่อนสิ้นสุดมาตรการชะลอการเก็บภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในเดือนก.ค.68 ขณะเดียวกัน สัญญาณการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ยังมีทิศทางเชิงบวก และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการช่วงกลางปี ช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ

ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 90.8 ลดลงจาก 91.7 ในเดือนพ.ค.68 เนื่องจากความไม่แน่นอนจากปัญหาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงการปิดด่านอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าชายแดน และการค้าผ่านแดนของไทย, ด้านคณะกรรมการค่าจ้าง มีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในบางกิจการ มีผลวันที่ 1 ก.ค.68 กระทบต่อต้นทุนการจ้างของผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการค้า

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากการอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% และโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 คาดว่าจะช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนอย่างทั่วถึง

นายนาวา กล่าวว่า ผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้

1. ขอให้ภาครัฐ ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น ช่วยรับซื้อและกระจายสินค้าไปยังตลาดอื่น จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พักชำระหนี้ชั่วคราวสำหรับ SME ชดเชยค่าจ้างให้แรงงานกรณีปิดกิจการชั่วคราว เป็นต้น

2. ขอให้ภาครัฐ เร่งรัดการใช้จ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท ให้ดำเนินการได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบโครงการอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส

3. ขอให้ภาครัฐ เร่งเจรจาปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าในสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ให้ลดลงสู่ระดับที่สามารถแข่งขันได้ ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้

รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า หากสินค้าของไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ตามเดิมจะส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมไม่สามารถไปต่อได้ เพราะขีดความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่าคู่แข่ง เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเคมีที่ยังปรับตัวไม่ทัน แต่หากเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยาจะส่งผลดีต่อคนไทยให้ได้ใช้ยาที่มีคุณภาพดี

"ส.อ.ท.ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกไปให้ทีมไทยแลนด์ใช้ประกอบการเจรจาแล้ว เราไม่จำเป็นต้องทุ่มหมดหน้าตัก ซึ่งต้องเอาใจช่วย แต่ยอมรับว่าหนักใจแทนทีมไทยแลนด์หลังมีข่าวสหรัฐฯ ทำข้อตกลงกับอินโดนีเซียได้แล้ว ทั้งที่เขาได้ดุลสหรัฐฯ น้อยกว่าเรา แต่ยอมลดภาษีให้มากขนาดนั้น แต่ยังเชื่อมั่นทีมไทยแลนด์จะเจรจาให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยได้" นายนาวา กล่าว

ส่วนปัญหาเรื่องการสวมสิทธิ์ในการส่งออกนั้นก็มีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น โดยขณะนี้กระทรวงพาณิชย์จะเป็นหน่วยงานเดียวที่กำกับดูแลในเรื่องนี้ และในระยะต่อไปจะผ่องถ่ายงานมาให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้เข้ามาช่วยดูแลเหมือนเดิม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ