สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ปรับลดเป้าผลิตรถยนต์ปี 68 ลง 50,000 คัน จากเดิม 1,500,000 คัน เป็น 1,450,000 คัน โดยเป็นการปรับเป้าเฉพาะผลิตเพื่อส่งออกจาก 1,000,000 คัน เป็น 950,000 คัน
โดยในเดือนมิ.ย. ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป อยู่ที่ 88,085 คัน ลดลง 1.11% จากเดือน มิ.ย.67 โดยมีมูลค่าการส่งออก 57,439.52 ล้านบาท ลดลง 8.97% จากเดือน มิ.ย.67 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าชะลอตัวลงจากผลกระทบเรื่องมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) มียอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปทั้งสิ้น 459,357 คัน ลดลง 11.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่ารวม 314,370.86 ล้านบาท ลดลง 13.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
"ยอดส่งออกปีนี้คงไม่เข้าเป้า 1 ล้านคัน น่าจะได้ราว 9 แสนคัน" นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.กล่าว
สำหรับจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือน มิ.ย.68 มีทั้งสิ้น 130,223 คัน ลดลง 6.44% จากเดือน พ.ค.68 แต่เพิ่มขึ้น 11.98% จากเดือน มิ.ย.67 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่เพิ่มขึ้น 314.55% และผลิตรถกระบะเพิ่มขึ้น 8.39% จากการผลิตรถกระบะส่งออกเพิ่มขึ้น 4.00% และผลิตเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 26.27% เนื่องจากจากฐานต่ำในเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ส่งผลให้รถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 68 มีจำนวนทั้งสิ้น 724,715 คัน ลดลง 4.80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
"ขอบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ประเทศไทยย้อนหล้งว่า เดือนเมษายน 2568 เป็นเดือนแรกที่มีการผลิตรถกระบะไฟฟ้าในประเทศไทย เดือนพฤษภาคม 2568 เป็นเดือนแรกที่ส่งออกรถกระบะไฟฟ้าจากการผลิตในประเทศไทย" นายสุรพงษ์ กล่าวขณะที่ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือน มิ.ย.68 มีจำนวนทั้งสิ้น 50,079 คัน ลดลง 4.12% จากเดือน พ.ค.68 แต่เพิ่มขึ้น 5.07% จากเดือน มิ.ย.67 เพราะฐานต่ำของปีที่แล้วจากยอดขายที่ลดลงตั้งแต่เดือน เม.ย.66 เป็นต้นมา โดยเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สามติดต่อกันจากการขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและรถ PPV เพิ่มขึ้นจากการออกรุ่นใหม่ของบางบริษัท แต่รถกระบะยังคงขายลดลง 19.9% จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศยังคงอ่อนแอจากการลงทุนภาคเอกชนไตรมาสหนึ่งของปี 2568 ลดลง 0.9% จากไตรมาสหนึ่งของปีก่อน ส่งผลให้แรงงานในภาคการผลิตลดลง 0.4% สาขาก่อสร้างลดลง 5.1% อำนาจซื้อของประชาชนจึงอ่อนแอ ส่งผลให้ยอดขายในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 302,694 คัน ลดลง 1.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
"ยอดขาย 6 เดือนแรกแตะ 3 แสนค้น ทั้งปีก็น่าจะได้ถึง 6 แสนคัน" นายสุรพงษ์ กล่าว- ประเภท BEV มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 15,100 คัน เพิ่มขึ้น 88.99% จากเดือน มิ.ย..67 ส่งผลให้ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 69,055 คัน เพิ่มขึ้น 33.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และนับถึงวันที่ 30 มิ.ย.68 มียอดจดทะเบียนสะสมจำนวนทั้งสิ้น 296,784 คัน เพิ่มขึ้น 61.98% จากปีที่แล้ว
- ประเภท HEV มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 11,520 คัน ลดลง 8.493% จากเดือน มิ.ย.67 ส่งผลให้ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 72,313 คัน เพิ่มขึ้น 0.57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และนับถึงวันที่ 31 มิ.ย.68 มียอดจดทะเบียนสะสมจำนวนทั้งสิ้น 542,371 คัน เพิ่มขึ้น 30.73% จากปีที่แล้ว
- ประเภท PHEV มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 1,524 คัน เพิ่มขึ้น 80.78% จากเดือน มิ.ย.67 ส่งผลให้ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีจดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 11,346 คัน เพิ่มขึ้น 131.74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และนับถึงวันที่ 31 มิ.ย.68 มียอดจดทะเบียนสะสมจำนวนทั้งสิ้น 74,557 คัน เพิ่มขึ้น 26.85% จากปีที่แล้ว
"รถไฟฟ้ามียอดขายดีมาก เนื่องจากมีราคาถูก ปีนี้คาดว่ายอดขายอาจถึง 1 แสนคัน จากเดิมที่คาดไว้ 8-9 หมื่นคัน" นายสุรพงษ์ กล่าวโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.กล่าวว่า กรณีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีนโยบายลดดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้นน่าจะเป็นเรื่องดีที่ช่วยจะเป็นการลดภาระให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้หากภาวะเศรษฐกิจของประเทศกลับมาเติบโตได้ในระดับปีละ 4-5% จะช่วยดึงดูดการลงทุนที่ก่อให้เกิดการจ้างงานตามมา