นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า ขณะนี้ "ทีมไทยแลนด์" อยู่ระหว่างการเจรจาข้อสรุปมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และไม่อยากให้มีการนำไปเปรียบเทียบกับประเทศที่เจรจาเสร็จแล้ว เพราะการเจรจาจะต้องมีการต่อรองกัน ดังนั้นทีมไทยแลนด์จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการเจรจาต่อรองให้เต็มที่ โดยยึดหลัก win-win
"อย่าไปบอกว่าเราจะไม่ยอมเสียเปรียบ ทุกประเทศในโลกนี้ เสียเปรียบการเจรจาครั้งนี้ทั้งหมด สิ่งที่ทีมเจรจากำลังทำ คือ ทำอย่างไรให้ win-win หรือเห็นการเสียเปรียบน้อยที่สุด เราใช้ความพยายามคุยกับสหรัฐฯ ตลอด แต่ในชั้นการเจรจาเป็นความลับ อยากให้มั่นใจว่ารัฐบาลเจรจาทุกวัน เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ไทยก็เพิ่งยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมไป เพื่อให้ได้ดีลที่ดีที่สุด ส่วนหลังจากวันที่ 1 ส.ค. ไทยจะโดนภาษีนำเข้าจะสหรัฐฯ เท่าไรนั้น ก็เป็นเรื่องที่สุดแล้วแต่ แต่ถ้าให้ประเมินเบื้องต้น ก็ยังเชื่อว่าอัตราภาษีของไทย จะใกล้เคียงกับภูมิภาค ไม่แตกต่างกัน" ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว
โดยระบุว่า ระหว่างนี้รัฐบาลจะต้องทำการบ้าน โดยเร่งดูแลผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะการเยียวยา หรือบรรเทาผลกระทบให้กลุ่ม SME ซึ่งเครื่องมือแรกที่มี คือ เม็ดเงินจากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ที่ได้อนุมัติไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาท โดยขณะนี้ ยังเหลือเม็ดเงินอีก 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้สามารถนำใช้ได้ทันทีในปีงบประมาณ 2568 จำนวน 2 หมื่นล้านบาท และอีกส่วนหนึ่ง ราว 2.5 หมื่นล้านบาท จะใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.68 เป็นต้นไป เป็นการเตรียมกระสุนไว้รองรับผลกระทบที่จะเห็นได้ชัดเจนภายหลังจากสหรัฐฯ มีการประกาศอัตราภาษี
ขณะเดียวกัน ยังมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ของธนาคารออมสินที่จะสามารถรองรับได้ นอกจากนี้ ยังมีการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ผ่านโครงการ PGS11 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ที่จะเข้ามามีบทบาทเชิงรุกในการช่วยให้ผู้ประกอบการ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น