
รัฐบาล มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งครอบคลุมทั้งมาตรการพักชำระหนี้ มาตรการลดอัตราดอกเบี้ย และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นจากเหตุปะทะกันระหว่างกำลังความมั่นคง บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ และขยายวงกว้างไปสู่ภาคเศรษฐกิจ และสังคมในระดับชุมชนโดยรอบ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ และการดำเนินธุรกิจของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ รัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น และให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชนในพื้นที่โดยเร่งด่วน โดยได้มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งครอบคลุมทั้งมาตรการพักชำระหนี้ มาตรการลดอัตราดอกเบี้ย และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างครอบคลุม แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
- ธนาคารออมสิน
จัดทำมาตรการช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบด้วย
1. มาตรการพักชำระเงินต้น สำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จนถึงงวดเดือนธ.ค. 68 และให้จ่ายดอกเบี้ยเพียงบางส่วน เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระหนี้
2. มาตรการสินเชื่อเพื่อรายย่อย จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
- สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือสำหรับประชาชนรายย่อย : ระยะเวลาผ่อนชำระ 12 เดือน ปลอดชำระเงินงวด 3 เดือนแรก ดอกเบี้ยคงที่ 0.60% ต่อเดือน
- สินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพสำหรับประชาชนรายย่อย : ระยะเวลาผ่อนชำระ 60 เดือน ดอกเบี้ยคงที่ 0.75% ต่อเดือน
3. สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ SMEs วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระเงินงวดไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 = MLR- 2.65% ปีที่ 2 เป็นต้นไป = MLR ยกเว้นค่าธรรมเนียม Front End Fee และ Prepayment Fee
ทั้งนี้ สามารถแสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการ ผ่านทางเว็บไซต์ของธนาคารออมสิน หรือติดต่อสาขาของธนาคารออมสินในพื้นที่ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
จัดทำมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบด้วย
1. โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 2568 เพื่อเสริมสภาพคล่องเกษตรกรในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR ของ ธ.ก.ส. เท่ากับ 6.725% ต่อปี) ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก
2. โครงการสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นค่าลงทุนในการซ่อมแซมบ้านเรือนทรัพย์สิน ค่าซ่อมเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย วงเงินต่อรายไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR-2 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 15 ปี
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
จัดทำมาตรการช่วยเหลือ และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าของธนาคารจากเหตุการณ์ชายแดน วงเงินโครงการ 200 ล้านบาท ดังนี้
1. กรณีผู้กู้บาดเจ็บสาหัส หรือที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหาย จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปีแรก อัตราดอกเบี้ยปีที่ 6 เป็นต้นไป เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธอส. กำหนด
2. กรณีผู้กู้ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือเสียชีวิต หรือที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา
3. กรณีกู้เพื่อปลูกสร้างอาคารใหม่ทดแทนอาคารเดิม จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือนแรก และเดือนที่ 7-12 จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 2 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ ธอส. กำหนด โดยสามารถเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 68 เป็นต้นไป
- ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ด้วยการ "พัก ลด ขยาย เติม" ให้ SME ไปต่อได้ แม้เจอวิกฤต ด้วยการ
1. พัก ชำระเงินต้น
2. ลด ค่างวดการชำระ
3. ขยาย ระยะเวลาการชำระหนี้
4. เติม ทุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี ระยะเวลา 3 ปี ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี
5. สินเชื่อ SME Refinance ลดต้นทุนธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.99% ต่อปี
- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM BANK
จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ แบ่งเป็น
1. มาตรการบรรเทาผลกระทบเร่งด่วน ขยายระยะเวลาชำระหนี้สูงสุด 365 วัน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสูงสุด 20% จากอัตราเดิม และเพิ่มวงเงินชั่วคราว 1 ปี สูงสุด 30% ด้วยอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.99% ต่อปี
2. มาตรการเสริมสภาพคล่อง และลดต้นทุนทางการเงิน สนับสนุนการเปิดตลาดใหม่
- มาตรการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อออกงานแสดงสินค้า (EXIM-DITP Empower Financing) อัตราดอกเบี้ย 6.15% ต่อปี
- มาตรการเงินทุนหมุนเวียนก่อนและหลังการส่งออก (EXIM Export Booster) อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.99% ต่อปี
- เงินทุนหมุนเวียนหลังการส่งออกพร้อมประกันการส่งออก (EXIM Safe Trade) อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.99% ต่อปี พร้อมการชดเชยจาก ธสน. หากไม่ได้รับชำระค่าสินค้าจากคู่ค้า
- Export Credit Insurance ยกเว้นค่าวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับผู้เอาประกัน 5 ราย
- สินเชื่อระยะยาวร่วมกับสำนักงานประกันสังคม อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นคงที่ 2% ต่อปี ระยะเวลา 3 ปี
- สินเชื่อระยะยาวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (Transformation Loan) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยสำหรับ SMEs ที่ 5.68% ต่อปี
- ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) หรือ IBank
มีมาตรการ "ไอแบงก์เราไม่ทิ้งกัน" เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบด้วย
1. พักชำระเงินต้นและกำไร กำหนดอัตรากำไรตามสัญญาสินเชื่อเดิม ระยะเวลาสูงสุด 6 เดือน ขยายระยะเวลาออกไปสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน หรือไม่เกินค่างวดชำระเดิม
2. ให้วงเงินเพิ่มเพื่อซ่อมแซม ฟื้นฟู ที่อยู่อาศัยและกิจการลูกค้า สำหรับสินเชื่อเพื่ออยู่อาศัยอัตรากำไรเริ่มต้น 1.99% ในปีแรก วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลากู้สูงสุด 20 ปี และสำหรับสินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ อัตรากำไรเริ่มต้น 3.25% ในปีแรก วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลากู้สูงสุด 5 ปี
- บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเดิม และมาตรการภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 "บสย. SMEs ยั่งยืน" ได้แก่
1. มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ และลูกค้าเดิมของ บสย.
- ผ่อนผันการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และค่าจัดการค้ำประกันโดยพักชำระออกไปอีก 6 เดือน นับจากวันถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียม
- พักชำระค่างวดเป็นระยะเวลา 3 เดือน
2. มาตรการเสริมสภาพคล่อง ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 "บสย. SMEs ยั่งยืน"
- มาตรการ SMEs Power Trade & Biz วงเงินค้ำประกัน 3,000 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อราย 5 แสน-10 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
3. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz วงเงินค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อราย 10,000-500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน แต่ขาดคนค้ำประกัน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน
นายพิชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญกับการบรรเทาผลกระทบในพื้นที่ โดยมุ่งช่วยเหลือประชาชน และผู้ประกอบการ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เพียงพอในการดำรงชีวิต ประกอบอาชีพ และฟื้นฟูกิจการอย่างต่อเนื่อง และเห็นว่ามาตรการที่จัดทำขึ้น ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ รวมถึงสามารถช่วยลดภาระต้นทุน เสริมสภาพคล่อง และสนับสนุนการปรับปรุง ซ่อมแซม หรือฟื้นฟูทรัพย์สิน เช่น อาคาร โรงงาน และเครื่องจักร ให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"ผู้ที่ได้รับผลกระทบ สามารถขอรับความช่วยเหลือ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เกี่ยวข้อง ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยกระทรวงการคลัง จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมได้ทันท่วงทีต่อไป" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้สั่งการไปยังหน่วยงานทั้งหมดให้เริ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐก็ได้เร่งออกมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนหน้านี้กรมบัญชีกลางได้มีการอนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ความขัดแย้งเพิ่มเติมจังหวัดละ 100 ล้านบาทตามขอของกระทรวงมหาดไทยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมองว่าเรื่องนี้เป็นการให้ความช่วยเหลือที่เร็วและตอบโจทย์มากที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้
"การเยียวยา และให้ความช่วยเหลือก็ต้องเร่งดำเนินการไปตามความเหมาะสม ต้องดูว่าความเสียหายอยู่ตรงไหน และกระทรวงการคลังและหน่วยงานในสังกัดช่วยอะไรได้บ้าง แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยมาประเมินผลกระทบกับเศรษฐกิจว่าเป็นอย่างไร จบช้า หรือจบเร็ว มีผลกระทบเท่าไหร่" ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ