
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ที่มีมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธาน เห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ชดเชยตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 ให้นับยอดชดเชย 1.5 เท่า สำหรับการผลิตเพื่อส่งออก เพื่อจูงใจเอกชนให้ใช้ไทยเป็นฐานส่งออก พร้อมขยายเวลาจดทะเบียนอีก 1 เดือน และเพิ่มความเข้มข้นในการจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการ รับมือความผันผวนจากตลาดยานยนต์โลก
- บอร์ดอีวีเห็นชอบให้กรมสรรพสามิต ปรับเงื่อนไขในการคำนวณจำนวนยานยนต์ไฟฟ้า ที่ผลิตชดเชยภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 โดยให้ "ผลิต 1 คัน นับเป็นการผลิตชดเชย 1.5 คัน" สำหรับยานยนต์ที่ผลิตและส่งออกไปต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2568 ตามข้อเสนอของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ซึ่งแนวทางดังกล่าว จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าขยายตลาดส่งออก โดยคาดว่าจะทำให้จำนวนการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นเป็นประมาณปีละ 12,500 คัน ในปี 2568 และ 52,000 คัน ในปี 2569

- บอร์ดอีวี เห็นชอบให้กรมสรรพสามิต ขยายเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ ภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 ออกไปอีก 1 เดือน ดังนี้
มาตรการ EV3 จากเดิมให้จดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธ.ค.68 เป็น "จำหน่ายภายในวันที่ 31 ธ.ค.68 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 ม.ค.69"
มาตรการ EV3.5 จากเดิมให้จดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธ.ค.70 เป็น "จำหน่ายภายในวันที่ 31 ธ.ค.70 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 ม.ค.71"
- บอร์ดอีวี ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุนของกรมสรรพสามิต ตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบ มีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ดังนี้

1) สำหรับผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่ไม่ขยายเวลาผลิตชดเชย ให้จัดทำแผนคาดการณ์การผลิตชดเชย และรายงานผลการผลิตชดเชยเป็นรายเดือน โดยกรมสรรพสามิต จะยับยั้งการจ่ายเงินอุดหนุนจนกว่าจะผลิตชดเชยสะสมได้ตั้งแต่ 50% ของจำนวนที่ต้องผลิตชดเชยทั้งหมด และผลิตได้ตามแผนคาดการณ์
ในกรณีผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่จะขยายเวลาผลิตชดเชย หรือผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3.5 จะต้องจัดทำแผนคาดการณ์การผลิตชดเชย โดยผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่ขยายเวลา ต้องวาง Bank Guarantee 20 ล้านบาท สำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาทขึ้นไป และ 40 ล้านบาท สำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท โดยกรมสรรพสามิต จะยับยั้งการจ่ายเงินอุดหนุน หากผู้ได้รับสิทธิมียอดการผลิตชดเชยสะสมต่ำกว่าสัดส่วนที่กำหนด
2) ให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่จะขยายเวลาผลิตชดเชย สามารถจัดหาโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจากเดิมได้ เพื่อให้สามารถผลิตชดเชยได้ภายในเวลาที่กำหนด
3) ให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 และ EV3.5 สามารถทบทวนการขอรับสิทธิ และการนับจำนวนการนำเข้าเพื่อการผลิตชดเชยได้ โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้นำเข้า และจดทะเบียนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุน บริษัทสามารถเลือกที่จะคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิต พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม เพื่อที่จะไม่ต้องนับเป็นยอดในการผลิตชดเชย
"การปรับปรุงหลักเกณฑ์ของบอร์ดอีวีในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการ EV3 และ EV3.5 ทั้งในด้านการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุน และการขยายเวลาการจดทะเบียน ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริงแล้ว ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในการวางแผนธุรกิจ และเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันประเทศไทย ให้เป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการส่งออกในระดับภูมิภาคและระดับโลก สอดรับกับเป้าหมาย 30@30 โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดโลกยังเผชิญความผันผวน ทั้งด้านความต้องการ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์" นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ กรรมการและเลขานุการบอร์ดอีวี ระบุ
บอร์ดอีวี ยังได้รับทราบรายงานผลการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มียอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง BEV ใหม่ 57,289 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 52% และ คิดเป็นสัดส่วนถึงกว่า 15% ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมด นับเป็นตัวเลขสูงที่สุดในอาเซียน
ปัจจุบัน มียอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง BEV สะสมในไทยกว่า 203,000 คัน นอกจากนี้ ยังมียานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ เช่น จักรยานยนต์ไฟฟ้า 71,900 คัน รถโดยสาร และรถบรรทุกไฟฟ้า 3,800 คัน และรถสามล้อไฟฟ้า 1,000 คัน
ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3 จำนวน 27 บริษัท ประกอบด้วย ผู้ผลิตรถยนต์นั่ง และรถกระบะไฟฟ้า 16 บริษัท และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 11 บริษัท
และผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 จำนวน 10 บริษัท เป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่ง และรถกระบะไฟฟ้าทั้งสิ้น โดยปัจจุบันมียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่เข้าข่ายได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 รวม 209,623 คัน แบ่งเป็น ประเภทรถยนต์ 175,064 คัน และรถจักรยานยนต์ 34,559 คัน
ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนสำคัญ สถานีชาร์จไฟฟ้า และสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ มีเงินลงทุนรวม 137,698 ล้านบาท ประกอบด้วย
- กิจการผลิตรถยนต์ BEV 21 โครงการ เงินลงทุนรวม 41,077 ล้านบาท กำลังการผลิตรวม 386,000 คันต่อปี
- กิจการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 16 โครงการ เงินลงทุนรวม 990 ล้านบาท กำลังการผลิตรวม 810,000 คันต่อปี
- กิจการผลิตรถโดยสารและรถบรรทุกไฟฟ้า 3 โครงการ เงินลงทุนรวม 2,206 ล้านบาท กำลังการผลิตรวม 4,800 คันต่อปี
- กิจการผลิตแบตเตอรี่ 53 โครงการ เงินลงทุนรวม 80,063 ล้านบาท
- กิจการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอื่น ๆ เช่น Traction Motor, BMS, DCU, On-board Charger จำนวน 42 โครงการ เงินลงทุนรวม 6,521 ล้านบาท
- กิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้า 29 โครงการ เงินลงทุนรวม 5,562 ล้านบาท จะติดตั้งหัวจ่ายไฟฟ้าจำนวน 20,080 หัวจ่าย โดยเป็นหัวจ่ายแบบ Quick Charge จำนวน 7,360 หัวจ่าย
- กิจการสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ 5 โครงการ เงินลงทุนรวม 1,279 ล้านบาท แบ่งเป็นสถานีสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ 555 สถานี สถานีสำหรับรถเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ 7 สถานี และสถานีสำหรับรถยนต์นั่ง 6 สถานี
นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนาสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ข้อมูลล่าสุดในเดือนมี.ค.68 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,720 สถานี จำนวน 11,622 หัวจ่าย แบ่งเป็น DC Charger (Fast Charge) จำนวน 6,524 หัวจ่าย และ AC Charger จำนวน 5,098 หัวจ่าย โดยมีการกระจายครอบคลุมในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ