KTB ชี้เหตุปะทะไทย-กัมพูชา กระทบค้าชายแดน-ท่องเที่ยว-ลงทุน เสียหาย 1.7 หมื่นลบ./เดือน

ข่าวท่องเที่ยว Thursday July 31, 2025 18:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

KTB ชี้เหตุปะทะไทย-กัมพูชา กระทบค้าชายแดน-ท่องเที่ยว-ลงทุน เสียหาย 1.7 หมื่นลบ./เดือน

Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ ผลกระทบต่อการค้าชายแดน, ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และผลกระทบต่อการลงทุน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายอย่างน้อย ราว 17,000 ล้านบาท/เดือน

1. ผลกระทบต่อการค้าชายแดน

การค้าชายแดน ถือเป็นช่องทางที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชามากที่สุด เนื่องจากการค้าชายแดนไทยและกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 48% ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทั้งหมด โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่ที่ 80,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.2%YoY แบ่งเป็น มูลค่าการส่งออกชายแดนอยู่ที่ 63,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%YoY และมูลค่าการนำเข้าชายแดนอยู่ที่ 17,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%YoY อย่างไรก็ดี สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่รุนแรงขึ้น จะกดดันต่อมูลค่าการค้าชายแดนในช่วงที่เหลือของปี 2568

Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด จะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาหายไปราว 14,011 ล้านบาท/เดือน โดยมูลค่าการส่งออกชายแดน หายไปราว 11,410 ล้านบาท/เดือน และมูลค่าการนำเข้าชายแดน หายไปราว 2,601 ล้านบาท/เดือน

สำหรับด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงมาก ได้แก่ ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยคาดว่าจะได้รับผลกระทบราว 8,663 ล้านบาท/เดือน เนื่องจากด่านอรัญประเทศเป็นด่านชายแดนไทย-กัมพูชาที่สำคัญในการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมทั้งเป็นเส้นทางสัญจรที่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว โดยในปี 2567 มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาผ่านด่านอรัญประเทศอยู่ที่ 110,718 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 63.4% ของมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด

ส่วนด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ ด่านคลองใหญ่ จ.ตราด และด่านจันทบุรี จ.จันทบุรี โดยคาดว่ามูลค่าการค้าชายแดนจะหายไปราว 2,457 และ 2,159 ล้านบาทต่อเดือนตามลำดับ

กลุ่มสินค้าส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ เครื่องดื่มอื่น ๆ น้ำแร่ น้ำอัดลมที่แต่งรส ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์อื่น ๆ เครื่องยนต์สันดาปภายใน และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรอื่น ๆ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกผ่านชายแดนไปกัมพูชาในปี 2567 มากกว่า 4 พันล้านบาท และมีสัดส่วนการส่งออกผ่านชายแดนสูงถึง 93%-100% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าแต่ละรายการไปกัมพูชา

กลุ่มสินค้านำเข้าที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ ผักและของปรุงแต่งจากผัก เศษของอะลูมิเนียม ลวดและสายเคเบิลที่หุ้นฉนวน เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าผ่านชายแดนจากกัมพูชาในปี 2567 มากกว่า 3 พันล้านบาท โดยเฉพาะมันสำปะหลังที่ไทยนำเข้าจากกัมพูชาราว 1-2 ล้านตันต่อปี ซึ่งหากมีการปิดด่านหลายเดือน อาจทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบมันสำปะหลังในบางช่วง และต้องนำเข้าจากแหล่งอื่นทดแทน เช่น สปป.ลาว และเวียดนาม เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องในไทย เช่น อาหารแปรรูป อาหารสัตว์ เป็นต้น

2. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว

ความเสียหายจากความไม่สงบที่เกิดขึ้น คาดว่าจะส่งผลลบต่อภาคการท่องเที่ยวราว 2,970 ล้านบาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็น

2.1 ผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่เข้ามามีแนวโน้มลดลง คาดว่าจะได้รับผลกระทบราว 1,185 ล้านบาท/เดือน นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชา มีสัดส่วนเพียง 2% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาในไทย โดยในช่วง 6 เดือนของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่เข้ามาไทยอยู่ที่ 217,652 คน ลดลงถึงราว -21%YoY

คาดว่าผลกระทบจากการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา จะทำให้นักท่องเที่ยวกัมพูชาลดลงในช่วงที่เหลือของปี 2568 ซึ่งเมื่อประเมินจากสถิติค่าใช้จ่ายของชาวกัมพูชาในปี 2565-2566 ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุด พบว่า ค่าเฉลี่ยของความเสียหายจากการขาดรายได้ของนักท่องเที่ยวกัมพูชาจะอยู่ที่ราว 1,185 ล้านบาท/เดือน

2.2 ความเสียหายด้านการท่องเที่ยวใน 4 จังหวัดที่มีการปะทะ คาดมีมูลค่าอย่างน้อยราว 1,785 ล้านบาท/เดือน โดยแบ่งเป็น 1) ความเสียหายจากการขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทย 1,766 ล้านบาท/เดือน และ 2) ความเสียหายจากการขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 19 ล้านบาท/เดือน

โดยการประมาณการข้างต้น ประเมินจากค่าเฉลี่ยย้อนหลังของนักท่องเที่ยวไทย และต่างชาติในปี 2565-67 ทั้งนี้ ใน 4 จังหวัดดังกล่าว จ.บุรีรัมย์ และ จ. อุบลราชธานี เป็น 2 จังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไทย และต่างชาติเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุด

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน แหล่งท่องเที่ยวสำคัญเช่น ปราสาทตาเหมือนธม และปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชายแดนสำคัญใน จ.สุรินทร์ ได้ถูกสั่งปิดแล้ว และการปะทะที่เกิดขึ้น คาดส่งผลลบต่อเทศกาลท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน ก.ค.68 เช่น งานเทศกาลผลไม้และของดีศรีขุนหาญ งานแข่งฟุตบอล งานดนตรี งานแสดงหุ่นยนต์ ใน จ. ศรีษะเกษ เป็นต้น

3. ผลกระทบต่อการลงทุน

ในเบื้องต้น ขณะนี้ผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย ที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชาในพื้นที่นอกเหนือจากจุดปะทะยังไม่มากนัก เนื่องจากการปะทะยังจำกัดอยู่เฉพาะบางจุดตามแนวชายแดน และยังไม่กระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานในเขตเมืองกัมพูชา

อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ยกระดับความรุนแรงและขยายวงกว้างขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชา โดยในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 100 ราย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบสูง เช่น ธุรกิจเครื่องดื่ม และค้าปลีก เป็นต้น

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชาบางส่วน ได้เตรียมมาตรการบริหารจัดการในกรณีฉุกเฉินไว้รองรับ หากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งยังได้เตรียมความพร้อมด้านการอพยพพนักงานสัญชาติไทยกลับมายังประเทศไทยไว้แล้ว นอกจากนี้ ไทยมีแรงงานกัมพูชารวมกว่า 1 ล้านคน (แรงงานถูกกฎหมายราว 5.1 แสนคน) หากมีการดึงแรงงานกัมพูชากลับประเทศอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น ก่อสร้าง การขายส่งขายปลีก อสังหาริมทรัพย์ และประมง เป็นต้น

จากสถานการณ์แรงงานต่างด้าวในเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า ไทยมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานทั่วราชอาณาจักรจำนวนทั้งสิ้น 4,080,613 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมา 2,987,988 คน กัมพูชา 512,184 คน และสปป.ลาว 289,217 คน โดยแรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่ อยู่ในกิจการก่อสร้างจำนวนอย่างน้อย 1.58 แสนคน รองลงมา คือ กิจการต่อเนื่องการเกษตร อย่างน้อย 31,958 คน และกิจการเกษตรและปศุสัตว์ อย่างน้อย 2.64 หมื่นคน ซึ่งแรงงานทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่อาศัยในกรุงเทพฯ และชลบุรี

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ไทย ได้ประเมินผลกระทบการปิดด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ไว้เมื่อ มิ.ย.68 ดังนี้

ระยะสั้นใน 3 เดือนแรก ธุรกิจรายย่อยข้ามแดน เช่น ตลาดชายแดนหยุดชะงัก โลจิสติกส์เปลี่ยนเส้นทาง

ระยะกลาง 3-12 เดือน ผู้ส่งออกต้องหาตลาดหรือเส้นทางใหม่

ระยะยาว เกิน 1 ปี อุตสาหกรรมไทยที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากกัมพูชาเริ่มกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพพรมแดนลดลง

ส่วนการบริหารความเสี่ยง ผู้ประกอบการควรพิจารณาการกระจายการค้าไปยังด่านอื่นที่ยังเปิดอยู่ รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งทางเลือก เช่น รถไฟ, ทางทะเล หรือขนส่งผ่านเวียดนาม และลาว ตลอดจนการเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ