กทท.-รฟท.ร่วมเพิ่มขีดความสามารถขนส่งทางราง-ทางน้ำลดต้นทุนโลจิสติกส์

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday July 31, 2025 18:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ว่า นโยบายของกระทรวงคมนาคม ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งทางรางและทางน้ำของประเทศ ที่มีต้นทุนด้านโลติสติกส์ต่ำ และได้เปรียบในแง่ต้นทุนพลังงานที่ต่ำ ความปลอดภัยสูง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าระบบขนส่งรูปแบบอื่น ซึ่งความร่วมมือระหว่างกทท.และรฟท.ในครั้งนี้ เพื่อให้ทั้งสองหน่วยงานร่วมมือกัน วางแนวทางนำไปสู่การปฎิบัติ ที่จะทำให้เพิ่มปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟไปยังท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ที่เป็นจริง และสร้างความมั่นใจกับนักลงทุน สายการเดินเรือ ผู้ประกอบการขนส่ง

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า การขนส่งสินค้าตู้สินค้าทางรางสู่ท่าเรือแหลมฉบังประมาณ 520,000 ทีอียูต่อปี โดยผ่านสถานีบรรจุและแยกสินค้าลาดกระบัง (ICD ลาดกระบัง) และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการยกขนตู้สินค้าทางรถไฟ ภายใต้โครงการ ศูนย์ขนส่งสินค้าทางตู้ (SRTO) อยู่ที่ประมาณ 460,000 ทีอียู และจากรถไฟทางไกล ผ่าน CY ต่าง ประมาณ 60,000-70,000 ทีอียู ซึ่งปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

MOU ครั้งนี้ตั้งเป้าขยายปริมาณการขนส่งตู้สินค้า 2 ล้านทีอียูต่อปีภายในระยะเวลา 10 ปี จะต้องมีการพัฒนาทั้งโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร เครื่องมือ เครื่องจักร และนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยในระยะสั้น กทท.อยู่ระหว่างจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ยกขนตู้คอนเทนเนอร์ SRTO ชุดที่ 2 คาดลงทุนประมาณ 900 ล้านบาท เพิ่มขีดความสามารถจาก 500,000-800,000 ทีอียูภายใน 3 ปี และปรับปรุงประสิทธิภาพ จัดตารางการเดินรถไฟ และเพิ่มแคร่สินค้า ลดระยะเวลาการให้บริการ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1 ล้านทีอียู ใน 5 ปี นอกจากนี้ ส่วนของท่าเรือแหมฉบัง ระยะที่ 3 มีส่วนของการบริการตู้คอนเทนเนอร์ หรือ SRTO ด้วย คาดว่าจะรองรับปริมาณได้อีกไม่น้อยกว่า 1 ล้านทีอียู

"ปัจจุบันรถไฟจาก ICD ลาดกระบัง-ท่าเรือแหลมบัง มีการเพิ่มความยาวแคร่สินค้า จาก 32 แคร่เป็น 35 แคร่ และเพิ่มการเดินรถจาก 24 ขบวน/วัน เป็น 30 ขบวน/วัน ทำให้ปริมาณตู้สินค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดภาระการขนส่งทางถนน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางรางในระดับภูมิภาค ยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า ลดความหนาแน่นบนเส้นทางคมนาคม ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ในทุกมิติ"

ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท. กล่าวว่า ปัจจุบัน ICD ลาดกระบัง มีปริมาณตู้สินค้าประมาณ 1.3 ล้านทีอียู โดยใช้รถไฟขนส่งไปยังท่าเรือแหลมฉบัง ประมาณ 40% หรือ 6.5 แสนทีอียู ที่เหลือขนส่งทางรถยนต์ ซึ่งขณะนี้ รฟท.เตรียมร่วมลงทุนเอกชน (PPP) ผู้ประกอบการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ที่ลาดกระบัง ซึ่งได้มีการทบทวนและเสนอกระทรวงคมนาคมและคณะกรรมการ PPP และ เสนอเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ซึ่งตามเงื่อนไขเอกชนเข้ามาบริหารจัดการจะเพิ่มปริมาณการขนส่งทางราง ไม่น้อยกว่า 50%

ในขณะที่ รฟท.อยู่ระหว่างการเสนอครม.เพื่อจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้า 946 คัน วงเงิน 2.45 พันล้านบาท รวมถึงมีแผนจัดหา รถจักร เพิ่ม ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง

"การเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนไปสู่ระบบรางและทางน้ำมีต้นทุนต่ำกว่า และสามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือครั้งนี้จะใช้โครงข่ายระบบรางเป็นกลไกหลัก โดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางทะเลของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมการใช้บริการขนส่งทางรางผ่านท่าเรือระนอง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคอันดามันด้วย" นายวีริศ กล่าว

นอกจากนี้ ความร่วมมือยังครอบคลุมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมขนส่ง ตลอดจนการดำเนินงานภายใต้หลักความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ และสร้างความเชื่อมั่นในระบบขนส่งทางรางให้เป็นทางเลือกหลักของประเทศในอนาคต ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 10 ปี พร้อมกำหนดเป้าหมายรายปีอย่างชัดเจน มีระบบติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผลสัมฤทธิ์สูงสุด ทั้งในระดับองค์กร ผู้ประกอบการ และประชาชนในภาพรวม

*ภาษีทรัมป์ไม่กระทบภาพรวมปี 68

ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า กรณีภาษีสหรัฐซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศตัวเลขการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไปสหรัฐฯ เร็วๆ นี้ นั้น ในส่วนของการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือ ยังประเมินผลกระทบไม่ได้ เนื่องจากต้องรอดูตัวเลขอัตราภาษีที่ชัดเจนก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้ขนส่งได้มีการเร่งการส่งออกไปค่อนข้างมาก เพราะเกรงว่า อัตราภาษีที่ประกาศใช้จะกระทบต่อต้นทุน ทำให้ปริมาณตู้สินค้าท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉลี่ย จะมีปริมาณที่ 7.8 แสนทีอียู บางเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 9.3-9.4 แสนทีอียู

อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีที่จะประกาศออกมานั้น ไม่ว่าตัวเลขจะเป็นเท่าไร จะส่งผลกระทบใน 2 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 เดือน คือ ส.ค. -ก.ย. 2568 ซึ่งจะไม่มีผลการดำเนินงานของกทท.ในปี 2568 โดยคาดว่า ปริมาณตู้สินค้าท่าเรือแหลมฉบัง ทั้งปี จะอยู่ที่ประมาณ 9.5 ล้านทีอียู ซึ่งเติบโตจากปี 2567 ที่มีตู้สินค้า 9.4 ล้านทีอียู

ส่วนกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชานั้น นายเกรียงไกร กล่าวว่า กทท.ประเมินว่า อาจจะทำให้ข้อจำกัดในการขนส่งสินค้าทางถนนผ่านแดน ทำไม่ได้และผู้ประกอบการขนส่งหันมาใช้การขนส่งทางเรือทดแทน ซึ่งจะเป็นโอกาสของท่าเรือในภูมิภาคด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นกับท่าเรือระนองที่มีปริมาณตู้สินค้าเพิ่ม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ