กกร. เพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้โต 1.8-2.2% หลังส่งออกฉายแววเกินคาด

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 6, 2025 15:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

กกร. เพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้โต 1.8-2.2% หลังส่งออกฉายแววเกินคาด
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้
ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ไทยปี 68 มาอยู่ที่ 1.8-2.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 1.5-2.0% รวมทั้งปรับเพิ่มประมาณการส่งออก
ไทยปีนี้ เป็น 2-3% จากเดิม -0.5 ถึง 0.3% ซึ่งจากความสำเร็จในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้สินค้าจากไทยจะถูกเรียกเก็บ
ภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ (Reciprocal tariffs) ในอัตรา 19% ลดลงจากที่สหรัฐฯ เคยประกาศไว้ที่ 36% ซึ่งทำให้สินค้าจากไทยจะไม่
เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ของ กกร. %YoY ม.ค.-เม.ย.68 พ.ค.68 มิ.ย.68 ก.ค.68 ส.ค.68 - GDP 2.4 ถึง 2.9 2.0 ถึง 2.2 1.5 ถึง 2.0 1.5 ถึง 2.0 1.8 ถึง 2.2 - ส่งออก 1.5 ถึง 2.5 0.3 ถึง 0.9 -0.5 ถึง 0.9 -0.5 ถึง 0.3 2.0 ถึง 3.0 - เงินเฟ้อ 0.8 ถึง 1.2 0.5 ถึง 1.0 0.5 ถึง 1.0 0.5 ถึง 1.0 0.5 ถึง 1.0 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้ มีแนวโน้มชะลอตัว โดยการส่งออกอาจแผ่วลง หลังหมดปัจจัยชั่วคราวจากการเร่ง ส่งออกก่อนมาตรการภาษีสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ในเดือนส.ค.68 นอกจากนี้ จะมีการแข่งขันด้านราคาที่มากขึ้น ภาวะเงินบาทแข็งค่าขึ้น รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ และกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ลดลงจากปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวชะลอตัวลง และผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พร้อมมองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และต้นปี 69 อาจะมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะภาคส่งออก ที่จะ ได้รับผลกระทบที่ชัดเจนมากขึ้นจากกรณีภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งที่สูงขึ้น ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละประเภท สินค้า และปริมาณสต็อกสินค้าที่แตกต่างกัน ที่ประชุม กกร. เห็นว่า ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือทั้งในระยะสั้น และการเปลี่ยนผ่านในระยะข้างหน้า ในระยะสั้น การแข่งขันด้านราคาจะเพิ่มขึ้นทั้งสินค้าที่ไทยส่งออกและสินค้าที่ขายในประเทศที่จะแข่งขันกับสินค้าที่ไทยเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะ กระทบกลุ่มที่มี Margin ต่ำ และต้องเร่งสำรวจการใช้ Local Content เพื่อลดความเสี่ยงภาษี transshipment รวมถึงบังคับใช้ กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนพิธีการศุลกากร และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่ขายในประเทศ "นโยบายการค้าของสหรัฐฯ เป็น Wake-up Call ให้ไทยใช้โอกาสนี้ ในการปรับตัวเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในระยะยาวของภาคเอกชน โดยเฉพาะ SME ทั้งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม กำหนด Priority Sectors ให้สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ประเทศ ยกระดับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่ม local content เพิ่ม Productivity ลดต้นทุน ใช้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับทักษะแรงงานของไทยในประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจที่แท้จริง" นายผยง ระบุ ขณะเดียวกัน กกร. เห็นว่าไทยยังขาดข้อมูลสำคัญด้านโครงสร้างการผลิตรายอุตสาหกรรม เช่น การใช้วัตถุดิบขั้นต้นและขั้น กลางในประเทศ รวมถึง Regional Value Content (RVC) ซึ่งภาคเอกชนได้เริ่มสำรวจและเก็บข้อมูลพื้นฐาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติ ได้ตามเงื่อนไขการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ และหน่วยงานของรัฐที่รับผิด ชอบเรื่องนี้โดยตรง เพื่อการตัดสินใจและเจรจาภายใต้การค้าโลกรูปแบบใหม่ (New trade paradigm) บทบาทของไทยในอาเซียน สร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก *ห่วงปมสวมสิทธิ์ ฉุดสินค้าไทยเสี่ยงโดนเก็บ 40% ชี้ไม่ควรเหมาเข่ง นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยัง ไม่จบ เพราะต้องมีการเจรจาในรายละเอียดของสินค้าแต่ละตัวที่มีความแตกต่างกัน ไม่สามารถที่จะคิดรวมแบบเหมาเข่ง โดยเฉพาะใน ประเด็นเรื่องการสวมสิทธิ์ อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้าง และหากไม่มีความชัดเจนก็จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าใน อัตรา 40% ส่วนผลกระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชานั้นต้องรอดูผลสรุปจากการประชุม GBC ในวันพรุ่งนี้ หากสามารถตกลงกันได้ และเปิดด่านในจุดที่ไม่มีความตึงเครียดก็จะช่วยลดผลกระทบลงได้ ซึ่งปกติจะมีปริมาณการค้าราววันละ 500 ล้านบาท โดยไทยส่งออก 400 ล้านบาท และนำเข้า 100 ล้านบาท นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นนี้น่า จะเป็นโอกาสทองในการลงทุนสร้างห่วงโซ่การผลิตให้มีความมั่นคง และในวันพรุ่งนี้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจะมีการพิจารณาว่าจะมี มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไร ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคิดว่าภาระภาษีที่เกิดขึ้นจะถูกผลักไป ให้ผู้บริโภค "เรามีอุตสาหกรรมขั้นต้นและกลางน้ำที่เป็นห่วงโซ่การผลิตที่มีความลึกและกว้าง ซึ่งน่าจะได้เปรียบประเทศคู่แข่งในเรื่อง การสวมสิทธิ์ แต่ต้องให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ" นายพจน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ