ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคดิ่งต่อเป็นเดือนที่ 6 กังวลภาษีทรัมป์-เหตุปะทะชายแดน-การเมืองไม่นิ่ง

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 7, 2025 12:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคดิ่งต่อเป็นเดือนที่ 6 กังวลภาษีทรัมป์-เหตุปะทะชายแดน-การเมืองไม่นิ่ง

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนก.ค.68 อยู่ที่ระดับ 51.7 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 31 เดือนนับตั้งแต่เดือน ม.ค.66

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 45.6 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 49.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 59.6 ซึ่งดัชนีฯ ทุกตัว ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 เช่นกัน

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคดิ่งต่อเป็นเดือนที่ 6 กังวลภาษีทรัมป์-เหตุปะทะชายแดน-การเมืองไม่นิ่ง

สาเหตุที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ทุกรายการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาล และการเมืองของไทย รวมทั้งสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา แม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงแล้วก็ตาม ซึ่งทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งตั้งแต่ต้นปี แต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า และการเข้าถึงสินเชื่อลำบาก

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคดิ่งต่อเป็นเดือนที่ 6 กังวลภาษีทรัมป์-เหตุปะทะชายแดน-การเมืองไม่นิ่ง

สำหรับปัจจัยลบสำคัญในเดือนก.ค.นี้ ได้แก่

1. ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.68 ส่งผลให้ผู้บริโภคกังวลกับเสถียรภาพการเมืองในอนาคต

2. ความกังวลต่อภาษีการค้าของสหรัฐฯ ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราสูงถึง 36% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.68

3. ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อาจจะยกระดับความรุนแรงไปสู่การสู้รบ แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงก็ตาม ส่งผลกระทบต่อประชาชน รวมทั้งบรรยกาศการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดชายแดน

4. ปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนประชาชน และพื้นที่ทางการเกษตร

5. ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพสูง รายได้ไม่สอดคล้องรายรับ

6. สินค้าเกษตรบางรายการราคาอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อน เช่น ข้าวเปลือกเจ้า มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ทำให้เกษตรกรรายได้ไม่เพิ่มขึ้นมาก

7. ความกังวลต่อปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ เช่น รัสเซีย-ยูเครน, อิสราเอล-กลุ่มฮามาส ซึ่งจะกระทบให้ราคาพลังงานโลกทรงตัวสูง ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้า และเพิ่มแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่

1. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของไทยปีนี้เป็น 2.2% จากเดิม 2.1%

2. รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว ผ่านโครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง"

3. การส่งออกไทยในเดือนมิ.ย. ขยายตัวได้ 15.49% ที่มูลค่ากว่า 28,000 ล้านดอลลาร์

4. ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง

5. เงินบาทปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อย สะท้อนการไหลเข้าสุทธิของเงินตราต่างประเทศ

นายธนวรรธน์ ระบุว่า จากการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนก.ค.นี้ ส่วนใหญ่มีความกังวลต่อเรื่องภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บกับสินค้าที่นำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ซึ่งเป็นความกังวลที่มีอยู่ตลอดทั้งเดือน ก.ค. แต่หลังจากทราบผลว่าไทยเจรจากับสหรัฐฯ ได้อัตราภาษีที่ 19% ก็ทำให้ความกังวลคลี่คลายลง

ส่วนสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้น เป็นสถานการณ์ที่มาเร็ว จบเร็ว และไม่ได้บั่นทอนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ลดลงอย่างรุนแรงนัก เพราะทั้ง 2 ฝ่ายได้หยุดปะทะกันแล้ว แม้ประชาชนจะยังมีความกังวลว่ามีโอกาสปะทะกันได้อีกก็ตาม แต่สถานการณ์ดีขึ้นเนื่องจากมีประชุม GBC นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวยังจำกัดอยู่บริเวณพื้นที่แนวชายแดน เฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ไม่ได้เป็นวงกว้างไปยังภาคอื่น ๆ ของไทย

สำหรับสถานการณ์ทางการเมือง ถือว่ายังเป็นปัจจัยที่ไม่นิ่ง เนื่องจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.68 ตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งมีผลให้ภาพการเมืองไทยยังมีความไม่ชัดเจน บั่นทอนเสถียรภาพทางการเมืองที่อาจนำไปสู่การยุบสภา ซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ไม่ทันตามกำหนดเวลา และทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 69 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจไม่ทันช่วงปลายปีนี้

อย่างไรก็ดี ปัจจัยนี้เริ่มคลี่คลายลงได้บ้าง เพราะบรรยากาศการเมืองในช่วงเดือน ก.ค.ไม่มีประเด็นเรื่องการยุบสภา ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินกรณีของนายกรัฐมนตรี คงยังไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งน่าจะทำให้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 สามารถทันเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ได้ตามปฏิทินที่กำหนดไว้ในช่วงกลางเดือนส.ค. และจะทำให้เริ่มใช้งบประมาณรายจ่าย ปี 69 ได้ทันในเดือนต.ค. 68 นี้

"ภาพรวมจะเห็นว่าความเชื่อมั่นยังไม่ฟื้นตัว ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเข้าสู่วัฎจักรขาลง และเป็นการถดถอยลงในเชิงเทคนิค ประชาชนมองภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่ายังมีความเปราะบาง และมีสัญญาณการซึมตัว แต่ sentiment ช่วงปลายเดือนก.ค.เริ่มดีขึ้นจากที่หลายสถานการณ์คลี่คลาย ทั้งนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณปัจจัยลบที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยซึมตัวมากไปกว่านี้" นายธนวรรธน์ ระบุ

ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย ยังคงประเมินการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไว้เท่าเดิมที่ 1.5-2.0% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 1.7%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ