"อนุสรณ์" ชี้ภาษีทรัมป์ในอาเซียนต่ำกว่ากลุ่ม BRICS เพิ่มโอกาสส่งออกไทย ดัน GDP เกิน 2%

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday August 10, 2025 18:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลทรัมป์เรียกเก็บอัตราภาษีศุลกากรประเทศต่าง ๆ แตกต่างกัน ส่งผลต่อรูปแบบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะการเก็บภาษีในอัตราที่แตกต่างกันมากระหว่างกลุ่ม BRICS และกลุ่มอาเซียน

การแข่งขันระหว่างสินค้าส่งออกในกลุ่ม BRICS และอาเซียนในตลาดสหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ สินค้าส่งออกบางประเภทสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่บางประเทศ ได้โอกาสเพิ่มส่วนแบ่งตลาดใหม่ อัตราภาษีทรัมป์ที่เรียกเก็บจากกลุ่ม BRICS สูงกว่าอาเซียนค่อนข้างมาก เป็นการสร้างโอกาสสินค้าส่งออกของไทย และอาเซียนที่ต้องแข่งขันกับกลุ่ม BRICS การส่งออกอาจขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม นอกจากนี้ ยังจะทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจากประเทศ BRICS มายังไทย และอาเซียนมากขึ้น หากส่วนต่างของอัตราภาษีศุกากรของสองกลุ่มประเทศนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยผลักดันให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้สูงกว่า 2% ได้

ภายใต้นโยบาย Liberation Tariffs และบทลงโทษเพิ่มเติมของสหรัฐฯ กลุ่ม BRICS ต้องเผชิญภาษีสูงมาก โดยเฉพาะ จีน (55%) และ อินเดีย-บราซิล (50%) ส่งผลกระทบหนักต่อสินค้าหลัก เช่น สินค้าเกษตร สิ่งทอ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักร เป็นต้น ขณะที่ แอฟริกาใต้ ถูกเก็บในระดับปานกลาง (30%) และรัสเซีย ถูกจำกัดการค้าเกือบทั้งหมดจากมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ความสามารถแข่งขันของ BRICS ในตลาดสหรัฐฯ ลดลงอย่างชัดเจน

กลุ่ม ASEAN ส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการเจรจาลดภาษีภายใต้นโยบาย Trump Tariffs โดย ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ถูกปรับลดเหลือเพียง 19% จากเดิมที่สูงกว่าระดับนี้มาก ขณะที่เวียดนาม ยังคงถูกเก็บสูงกว่าที่ 20% ส่วน สิงคโปร์ อยู่ในระดับต่ำสุดที่ 10% และ ลาว-เมียนมา ยังถูกเก็บสูงถึง 40-50% การลดภาษีนี้ ช่วยเพิ่มความสามารถแข่งขันของ ASEAN ในฐานะฐานการผลิต China Plus One แทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ของ DEIIT พบว่า ไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และมาเลเซีย มีศักยภาพเพิ่มส่วนแบ่งตลาดยางและผลิตภัณฑ์ยางในสหรัฐฯ หลัง BRICS ถูกเก็บภาษีสูง โดยไทย-อินโดนีเซีย เด่นในยางธรรมชาติและยางรถยนต์, เวียดนามได้เปรียบในยางจักรยาน, สิงคโปร์-ไทย-มาเลเซีย แข่งขันได้ดีในยางสังเคราะห์, และไทย-มาเลเซีย เด่นในผลิตภัณฑ์ยางอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ความได้เปรียบเกิดจากต้นทุนแข่งขันต่ำกว่า และอัตราภาษีสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งใน BRICS อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ไทยและบางประเทศ ASEAN ได้เปรียบอย่างชัดเจน ในตลาดยานยนต์ และชิ้นส่วนของสหรัฐฯ หลัง BRICS โดยเฉพาะ จีน และอินเดีย ถูกเก็บภาษีสูง 50-55% ทำให้คำสั่งซื้อรถกระบะ, รถยนต์อเนกประสงค์ดัดแปลงจากรถกะบะ, รถบรรทุก และชิ้นส่วนสำคัญมีแนวโน้มย้ายมาที่ไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม

ขณะที่ไทยครองความได้เปรียบในรถกระบะ และยางรถยนต์, มาเลเซียเ ด่นในอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ และเวียดนาม เสริมในสายไฟและยางมอเตอร์ไซค์ ส่งผลให้ ASEAN มีโอกาสขยายส่วนแบ่งตลาดแทน BRICS อย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่จีน และอินเดีย ถูกเก็บภาษีสูงถึง 50-55% ภายใต้ Trump Tariffs ทำให้คำสั่งซื้อโทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน มีแนวโน้มย้ายมายังกลุ่มอาเซียนมากขึ้น และอาจมีการย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ ASEAN มากขึ้นในอนาคต โดยเวียดนาม โดดเด่นในสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า ไทย แข็งแกร่งในชิ้นส่วนและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ส่วนมาเลเซีย และฟิลิปปินส์ มีโอกาสขยายงานในสายเซมิคอนดักเตอร์ และอุปกรณ์โทรคมนาคม

*ลุ้น กนง.รอบนี้ลดดอกเบี้ย หลังไร้แรงกดดันเงินเฟ้อ

พร้อมกันนี้ นายอนุสรณ์ ยังกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ ว่า กนง.ควรพิจารณาลดดอกเบี้ยและผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำมากอย่างต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาแรงกดดันเงินเฟ้อ และปัญหาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ การใช้จ่ายเพื่อการบริโภค และการลงทุนยังอ่อนแอ สินเชื่อชะลอตัว จำเป็นต้องกระตุ้นอุปสงค์ภายใน เพื่อประคับประคองไม่ให้เศรษฐกิจซบเซา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ