กนง.ระบุนโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติมได้บ้างเพื่อเอื้อภาคธุรกิจ-กลุ่มเปราะบาง รอบหน้าชั่งน้ำหนักเข้มข้น

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 13, 2025 17:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

กนง.ระบุนโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติมได้บ้างเพื่อเอื้อภาคธุรกิจ-กลุ่มเปราะบาง รอบหน้าชั่งน้ำหนักเข้มข้น

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา ยังไม่เห็นสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนของกลุ่มเปราะบาง และกลุ่ม SME ซึ่งการลดดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ จะทำให้เอื้อต่อการปรับตัวในด้านการเงินของกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน เพราะกลุ่มเปราะบางได้รับแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ การทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ รวมทั้งปัญหาในเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม เราจึงอยากทำให้ภาวะการเงินไม่ได้เป็นตัวที่ไปซ้ำเติมเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ที่ประชุม กนง.รอบนี้ จึงมีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%

ขณะเดียวกัน การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ได้รวมการพิจารณาปัจจัยทางการเมืองในประเทศเข้าไว้ด้วยแล้ว โดยมองว่าขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบต่อปฏิทินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 69

  • กนง.รอบหน้า ชั่งน้ำหนักมากขึ้น หลัง policy space ลดลง

ส่วนความเสี่ยงทางด้านเสถียรภาพระบบการเงิน (Financial stability) ในระยะยาวนั้น ในรอบนี้เราสามารถให้น้ำหนักน้อยลงได้ แต่เมื่อมองไปข้างหน้า นโยบายการเงินก็ยังควรอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การลดดอกเบี้ย เมื่อรวมกับ ต.ค.67 จนถึงรอบนี้ก็เป็นครั้งที่ 4 รวมลดลงไปแล้ว 1% ถือว่าลดลงไปพอสมควร และรองรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้าได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้น ความสำคัญในการรักษาเสถียรภาพในระยะปานกลาง ควบคู่กับการดูเรื่องประสิทธิผล และดู Policy Space ที่มีอยู่จำกัดนั้น ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น

"การลดดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้ จะทำให้ Policy space จากที่มีจำกัดอยู่แล้ว ลดลงไปอีก ซึ่งจะทำให้การพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะถัดไปนั้น กนง.จะต้องชั่งน้ำหนักมากขึ้น ระหว่างประสิทธิผลของดอกเบี้ย กับ Policy space ที่เหลืออยู่" นายสักกะภพ ระบุ

อย่างไรก็ดี ผลของการที่ลดดอกเบี้ยแล้วจะทำให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นนั้น คงไม่ได้มีมากนัก เพราะเงินเฟ้อที่ต่ำอยู่ในปัจจุบัน มีปัจจัยมาจากด้านอุปทานเป็นหลัก เพราะฉะนั้นเราไม่ได้คาดหวังว่าเงินเฟ้อจะปรับเพิ่มขึ้นเท่าไรนัก อย่างไรก็ดี แม้อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืดแต่อย่างใด

นายสักกะภพ กล่าวว่า ความคาดหวังของการลดดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้ คือ ต้องการให้กลุ่มที่มีความยากทางการเงิน เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่ม SME สามารถปรับตัวได้ เพราะที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการฟื้นตัวของกลุ่มเปราะบาง และกลุ่ม SME ค่อนข้างมีความยากลำบาก และได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ การไหลทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ และภาวะสินเชื่อหดตัว ดังนั้นสิ่งที่ กนง. อยากทำให้มั่นใจ คือ ภาวะการเงินจะต้องไม่ไปซ้ำเติมกลุ่มเปราะบาง และกลุ่ม SME มากเกินไป

อย่างไรก็ดี แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ก็มีโอกาสที่จะลดลงได้อีก เพราะที่ผ่านมา ดอกเบี้ยนโยบายเคยอยู่ในระดับต่ำสุดที่ 0.50% ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ทั้งนี้ ประสิทธิผลในการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยก็ย่อมจะลดลงตามไปด้วย ซึ่งในกรณีนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะในไทยเท่านั้น แต่ในต่างประเทศก็เช่นกัน

ทั้งนี้ นโยบายการเงินที่ผ่านมา กนง. มองว่ายังอยู่ในกลุ่มที่ผ่อนคลาย และครั้งนี้เป็นการผ่อนคลายเพิ่มเติมขึ้น เพื่อบรรเทาภาระการเงินของกลุ่มเปราะบาง ซึ่งคาดหวังว่าการปรับลดดอกเบี้ยของ กนง.ในครั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์คงจะปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ตามด้วย

"เรา (กนง.) ไม่ได้คุยกันว่าเป็น easing circle แบบเศรษฐกิจแย่ลงแบบนั้น ที่ลดดอกเบี้ยลง เพราะมันลดลงได้อยู่แล้ว แต่ประสิทธิผลก็จะลดลงมากขึ้น แต่ ณ ปัจจุบันเราก็ accommodative เพิ่มขึ้นไปอีก ถ้าถามว่าตอนนี้เพียงพอมั้ย กนง.ก็เห็นว่าอยู่ในระดับที่พอสมควรในระดับหนึ่งแล้ว แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่เศรษฐกิจโดน shock ที่รุนแรง การเก็บ policy space ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าถามว่าดอกเบี้ยจะลดลงได้เท่าไรนั้น จุดต่ำสุดที่เราเคยลด คือ 0.50% ในช่วงโควิด แต่ภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ ไม่ได้แย่แบบนั้นที่เศรษฐกิจ (GDP) ติดลบถึง 6%" นายสักกะภพ ระบุ
  • หวังการส่งผ่านดอกเบี้ยของแบงก์พาณิชย์รอบนี้จะเพิ่มขึ้น

พร้อมมองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วง 3 ครั้งที่ผ่านมานั้น (ต.ค.67, ก.พ.68 และ เม.ย.68) อัตราการส่งผ่านนโยบายดอกเบี้ยของ กนง.ไปสู่ธนาคารพาณิชย์ในภาพรวมอยู่ที่ 43% ซึ่งใกล้เคียงกับในช่วงโควิด-19 ซึ่งอยู่ที่ 40% แต่ยอมรับว่าในรอบหลังสุด (เม.ย.68) การส่งผ่านไปสู่ธนาคารพาณิชย์อาจจะน้อยกว่า 2 ครั้งแรก ดังนั้น กนง.จึงคาดหวังว่าการลดดอกเบี้ยในรอบนี้ (13 ส.ค.) จะทำให้การส่งผ่านนโยบายดอกเบี้ยไปสู่ธนาคารพาณิชย์จะมีเพิ่มขึ้น เพราะยังมี room ที่จะส่งผ่านได้อยู่

"การส่งผ่านนั้น มองว่าจริง ๆ แล้ว แบงก์ก็ต้องการช่วยเหลือลูกหนี้ในกลุ่มเปราะบางอยู่แล้ว การส่งผ่านนโยบาย ไม่ใช่เรื่องของดอกเบี้ยนโยบายแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เน้นการแก้หนี้ ลดภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยกันเสริม และการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ ก็จะช่วยเสริมในมาตรการที่ ธปท.ทำอยู่แล้วด้วย" นายสักกะภพ กล่าว

ทั้งนี้ การส่งผ่านนโยบายดอกเบี้ยจาก กนง.ไปสู่ธนาคารพาณิชย์ และถึงประชาชนหรือภาคธุรกิจ จะใช้เวลาราว 4 ไตรมาส ดังนั้นการที่ลดดอกเบี้ยไป 3 ครั้งก่อนหน้านั้น ยังคงมีผลค้างท่อและรอการส่งผ่านอยู่อีก ซึ่งการลดดอกเบี้ยรอบนี้ ก็จะเป็นการทำให้มั่นใจมากขึ้นว่าภาวะการเงินจะช่วยเอื้อต่อกลุ่มเปราะบางได้มากขึ้น ถือเป็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่เพิ่มเติมมากขึ้นอีก

นายสักกะภพ กล่าวด้วยว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของภาคธุรกิจค่อนข้างมาก ซึ่งกรณีการปรับขึ้นอัตราภาษีของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จะทำให้เริ่มเห็นการปรับตัวของภาคธุรกิจ ซึ่งถือเป็น wake up call ที่สำคัญ เพราะถึงเวลาที่ภาคธุรกิจต้องยกระดับการเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งนโยบายการเงินคงไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมา ทั้ง ธปท. และกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกันทำมาตรการเพิ่มเติมทั้งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) 30,000 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการปรับตัวอีก 70,000 ล้านบาท ซึ่งช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวและแข่งขันได้ภายใต้บริบทของโลกใหม่ได้ ตลอดจนการแก้หนี้ ที่ยังจะต้องทำเพิ่มเติมมากขึ้น

  • เล็งปรับ GDP ปี 68 ในประชุม กนง.รอบหน้า มองศก.ไทยยังไม่ถดถอย

นายสักกะภพ กล่าวว่า กรณีเศรษฐกิจถดถอยในเชิงเทคนิค (ติดลบต่อเนื่อง 2 ไตรมาส) คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ซึ่งที่ผ่านมาการเกิดเศรษฐกิจถดถอยนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากวิกฤติภายนอกประเทศเป็นสำคัญ เช่น วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤติโควิด แต่ยอมรับว่าสิ่งที่จะเห็นแน่ คือ เศรษฐกิจไทยที่เติบโตในระดับต่ำในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

"แม้จะมีโอกาสเกิด (ภาวะเศรษฐกิจถดถอย) แต่คงไม่สูงนัก เพราะจะเห็นว่าหลายหน่วยงาน เริ่มปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจของโลก และของไทย ดังนั้นการที่เศรษฐกิจไทยจะถดถอยเชิงเทคนิค จากผลของ Global recession คงมีไม่มากนัก" นายสักกะภพ ระบุ

ทั้งนี้ มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เติบโตได้ในระดับที่เคยประเมินไว้ แต่มองไปข้างหน้า แม้ว่าไทยจะโดนภาษีอัตรา 19% ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ภาคการผลิตของไทยมีแนวโน้มอ่อนแอ และความสามารถในการแข่งขันปรับลดลง รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มลดลงชัดเจน ซึ่งมีผลต่อภาคการจ้างงาน และการบริโภคภาคเอกชน ดังนั้น กนง.จะต้องติดตามตัวเลขการจ้างงานอย่างใกล้ชิด และคาดว่าจะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยของปีนี้ใหม่ ในช่วงการประชุม กนง.เดือนต.ค.68

"ตอนนี้ เรายังคงประมาณการ GDP ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ประเมินว่าจะขยายตัวทั้งปี 2.3% แต่ก็มี Up side จากเรื่องของภาษี และไตรมาสที่ 2 ดีขึ้นเล็กน้อย โดยจะมีการปรับตัวเลขในรอบการประชุมเดือนต.ค.68 ซึ่งมองว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง และทอดยาวไปถึงปี 69" นายสักกะภพ ระบุ

ส่วนภาวะเงินบาทนั้น นายสักกะภพ ยอมรับว่า เงินบาทตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้น ซึ่งในภาพใหญ่มาจากดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า และเงินบาทของไทยอาจจะแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในบางช่วง อีกทั้งในระยะหลังมีผลจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย สิ่งที่ ธปท.ต้องทำ คือ ทำนโยบายในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในการดูแลค่าเงิน รวมทั้งอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ