สภาผู้บริโภค ขีดเส้น ก.ย. ยื่นฟ้อง กพช.-กกพ. ขอศาลสั่งยกเลิกสัญญาทาสซื้อไฟแพง

ข่าวเศรษฐกิจ Friday August 22, 2025 17:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สภาผู้บริโภค ขีดเส้น ก.ย. ยื่นฟ้อง กพช.-กกพ. ขอศาลสั่งยกเลิกสัญญาทาสซื้อไฟแพง

สภาผู้บริโภค ขีดเส้นก.ย.นี้ ยื่นฟ้องคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต่อศาลปกครอง ยกเลิกมติทำสัญญาทาสซื้อไฟแพง ขัดกฎหมาย สร้างต้นทุนเกินจริง ผลักภาระให้ประชาชนแบกค่าไฟแพง

น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบายสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ที่มาของการฟ้องคดีในครั้งนี้ เกิดจากช่วงปลายปี 2567 สภาผู้บริโภคได้ส่งความเห็นเรื่องแนวทางการลดค่าไฟฟ้าถึง กกพ. โดยหนึ่งในเนื้อหาหลัก คือ การเจรจาปรับลดสัญญาค่าแอดเดอร์ ที่รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายภาครัฐ หรือค่า PE ซึ่งถูกนำมาคำนวณอยู่ในบิลค่าไฟฟ้าของประชาชน และเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กกพ. ได้มีความเห็นถึงคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เสนอให้มีการยกเลิกค่าแอดเดอร์ ซึ่งจะทำให้ประชาชนจ่ายค่าไฟลดลง 17 สตางค์ แต่กพช. ไม่ได้ตอบรับความเห็นของกกพ. โดยอ้างว่าทำสัญญากับบริษัทเอกชนเรียบร้อยแล้ว และไม่มีแนวโน้มว่าจะยกเลิกการต่อสัญญาแต่อย่างใด

สภาผู้บริโภค ขีดเส้น ก.ย. ยื่นฟ้อง กพช.-กกพ. ขอศาลสั่งยกเลิกสัญญาทาสซื้อไฟแพง

ด้วยเหตุนึ้ คณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ในฐานะตัวแทนของผู้บริโภค จึงมีมติให้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้รัฐเพิกถอน "ประกาศ กกพ. เรื่อง กรอบหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า ปี 2564" และ "ประกาศ กกพ. เรื่องกระบวนการ ขั้นตอนการใช้สูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ปี 2565 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับมาตรการจูงใจด้านราคา ผ่านระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP โดยกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า หรือแอดเดอร์ (Adder) จากราคารับซื้อไฟฟ้า" โดยกำหนดจะฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ภายในต้นเดือนก.ย.นี้

สภาผู้บริโภค ขีดเส้น ก.ย. ยื่นฟ้อง กพช.-กกพ. ขอศาลสั่งยกเลิกสัญญาทาสซื้อไฟแพง

น.ส.รสนา กล่าวว่า ค่าแอดเดอร์ ที่มาจากเป็นนโยบายของรัฐที่จะสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งอาจจะเหมาะสมกับสถานการณ์ในอดีต แต่ปัจจุบัน ราคาต้นทุนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนถูกลง ค่าแอดเดอร์จึงเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นที่ควรถูกตัดทิ้ง และที่ผ่านมา การทำสัญญาซื้อไฟกับภาคเอกชนมีการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติทุก 5 ปี ต่อเนื่องถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลาถึง 18 ปี ที่ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงเกินจริงมาโดยตลอด

"ปัจจุบัน ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟปีละประมาณ 900,000 ล้านบาท แต่กระบวนการรับซื้อไฟฟ้าในราคาแพง ก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ค่าแอดเดอร์เป็นเหมือน ไขมันส่วนเกิน ของค่าไฟฟ้า ซึ่งไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเป็นค่าใช้จ่ายที่รัฐใช้ อุ้มเอกชน เท่านั้น จึงควรตัดจ่ายใช้จ่ายนี้ออก ทั้งนี้ การยกเลิกค่าแอดเดอร์จะช่วยให้ค่าไฟฟ้าลดลง 17 สตางค์/หน่วย และทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่าปีละ 37,400 ล้านบาท ที่ผ่านมา กกพ.ไม่ทำอะไรเลย ไม่ตอบสนองอะไรทั้งสิ้น นี่คือสาเหตุที่สภาผู้บริโภคจะฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้ยกเลิกค่าแอดเดอร์ที่อยู่ในประกาศของกกพ." น.ส.รสนา ระบุ

ด้าน น.ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความ กล่าวว่า สภาผู้บริโภค ในฐานะผู้แทนผู้บริโภคตามกฎหมาย จะเดินหน้าฟ้องคดีแทนผู้บริโภค โดยยื่นฟ้อง กกพ. และ กพช. เพื่อโต้แย้งกฎของรัฐที่สร้างภาระให้กับประชาชนเกินสมควร โดยมีกำหนดยื่นฟ้องภายในวันที่ 4 กันยายน 2568 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ ซึ่งจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบในลำดับถัดไป

ขณะที่ นายบรรเจิด สิงคะเนติ อดีตกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า การที่รัฐสนับสนุนค่าแอดเดอร์ ซึ่งมีต้นทุนการรับซื้อไฟฟ้าสูงกว่าราคาต้นทุนจริงในภาวะปัจจุบัน และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติ โดยนำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายภาครัฐ (Policy Expense) รวมอยู่ในบิลค่าไฟของประชาชนในอัตรา 17 สตางค์/หน่วย ถือว่าขัดต่อ พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน ปี 2550 มาตรา 65 (1) และ (4) ซึ่งมีใจความว่า "กำหนดอัตราค่าบริการ ของผู้รับใบอนุญาตแต่ละประเภท ควรสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง และคำนึงถึงผลตอบแทนที่เหมาะสมของการลงทุนของการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องคำนึงถึงความเป็นธรรม แก่ทั้งผู้ใช้พลังงาน และผู้รับใบอนุญาต

สำหรับการเก็บอัตราค่าไฟฟ้าในส่วน "ค่าใช้จ่ายภาครัฐ" (Policy Expense) ซึ่งมีอัตรา 17 สตางค์/หน่วย จึงเป็นอัตราที่เป็นภาระกับประชาชนเกินสมควร โดยมีเหตุผล 3 ประการ ดังนี้

1) ค่าไฟฟ้าถูกคิดตามต้นทุนจริงในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้นการรับซื้อไฟฟ้าในแต่ละรอบ ย่อมมีราคาต่างกัน ปัญหาคือ สัญญารับซื้อไฟฟ้าที่กำหนดอายุ 5 ปี แต่กลับต่อสัญญาได้เรื่อย ๆ จนเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ทำให้ราคาซื้อไฟฟ้าไม่ปรับตามต้นทุนจริง แต่ประชาชนกลับต้องจ่ายค่าไฟในราคาดังกล่าว ซึ่งไม่เป็นธรรม และถือเป็นการผลักภาระเกินสมควรให้กับผู้ใช้ไฟ

2) สัญญารับซื้อไฟฟ้าแบบแอดเดอร์ ถูกอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรการส่งเสริมพลังงานสะอาด เช่น เมื่อปี 2552 เคยกำหนดให้รับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หน่วยละ 11 บาท แต่ในปี 2565 รัฐประกาศรับซื้อที่เพียงหน่วยละ 2.16 บาท โดยเปิดให้รับซื้อ 5,000 เมกะวัตต์ แต่มีเอกชนยื่นขายถึงกว่า 17,000 เมกะวัตต์ หรือมากกว่าถึง 3 เท่า แสดงให้เห็นว่า รัฐไม่จำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติม เพราะภาคเอกชนแย่งกันขายอยู่แล้ว ดังนั้น ค่า PE ที่ใช้เป็นเหตุผลรองรับ จึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ และการยังคงผลักภาระนี้ให้ประชาชนจ่าย จึงขาดเหตุผลโดยสิ้นเชิง

3) ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน มีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของการรับซื้อไฟทั้งหมด แต่กลับนำค่า PE ไปบวกในค่าไฟของประชาชนทั่วไป และยังไม่มีการกำหนดว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด ทำให้ประชาชนต้องรับภาระเกินควร โดยที่ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งหรือปกป้องสิทธิของตนเองได้

ทั้งนี้ การยกเลิกหรือถอดค่าใช้จ่ายภาครัฐออกจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ไม่ได้สร้างความเสียหาย หรือสร้างผลกระทบต่อการประกอบกิจการของเอกชนแต่อย่างใด เพราะการคิดอัตราค่าไฟฟ้าบนพื้นฐานของต้นทุนที่แท้จริงนั้น ถือเป็นการคำนึงถึงความเป็นธรรมระหว่างผู้ใช้พลังงานกับผู้รับใบอนุญาต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ