รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC ระบุว่า ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ตรวจพิจารณาร่างแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท ที่มีบริษัทเอเชียเอราวัน จำกัด (ซี.พี.) เป็นผู้รับสัมปทาน ระยะเวลา 50 ปีเสร็จแล้ว และส่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.68 ที่ผ่านมานั้น
สำนักงานอัยการสูงสุดมีข้อสังเกต และได้แก้ไขข้อความเรื่องของหลักประกัน กรณีปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ(Public Investment Cost: PIC)ทั้งโครงการจากเดิมกำหนดชำระเงินเมื่อก่อสร้างโครงการฯแล้วเสร็จ และเริ่มเปิดให้บริการเดินรถ เป็นรัฐจ่ายเร็วขึ้น "วิธีสร้างไปจ่ายไป" โดยให้เอกชนวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม เพื่อความมั่นใจกรณีการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ และความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอัยการสูงสุด ได้แก้ไขข้อความที่เพิ่มหลักประกันในส่วนงานที่มีหลักประกันก้อนอื่นครอบคลุมไว้อยู่แล้ว
ซึ่งหลังจาก รฟท. และ เอเชียเอราวันได้ร่วมกันพิจารณาร่างที่อัยการสูงสุดตรวจแก้ไข ทางเอกชนมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแก้ไขข้อความดังกล่าวจากอัยการสูงสุด โดยมองว่าจะทำให้เป็นการวางหลักประกันซ้ำซ้อน และกระทบต่อความรับผิดชอบต่อหลักประกันที่จะวางใหม่ที่มีความรับผิดชอบเพิ่มมากกว่ากรอบ PIC และอาจทำให้ธนาคารไม่ออกออกหลักประกันให้ได้
ทั้งนี้ จะเสนอไปที่อัยการสูงสุด เพื่อขอปรับข้อความให้มีความชัดเจนมากขึ้น ว่าหลักประกันที่วางเพิ่ม จะครอบคลุมเฉพาะเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ หรือ PIC เท่านั้น และไม่กระทบต่อการวางหนังสือค้ำประกันโดยธนาคาร หรือแบงก์การันตี ส่วนกรณีความเห็นอัยการ การแก้ไขสัญญาขัดต่อหลักการหรือไม่ พิจารณาแล้ว ยืนยันว่าไม่ขัด
ตามขั้นตอนหลังจากนี้ คณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาฯ จะได้ประชุมกันในสัปดาห์นี้ เพื่อรับทราบในประเด็นดังกล่าว จากนั้นจะส่งเรื่องกลับไปที่อัยการสูงสุดเพื่อแก้ไข ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน โดยหลังอัยการสูงสุดตรวจแก้แล้ว จะส่งเรื่องกลับไปให้ รฟท.ได้นำเสนอบอร์ดเพื่อทราบ ก่อนนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด EEC) เห็นชอบต่อไป
รายงานข่าวระบุว่า เนื่องจากขณะนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นชุดรักษาการ จึงเชื่อว่าในช่วงนี้บอร์ด EEC ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลังเป็นประธาน จะไม่มีการนัดประชุมจนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาล และครม.ชุดใหม่เรียบร้อย รวมทั้งมีประธานบอร์ด EEC คนใหม่ เนื่องจากเป็นเรื่องที่จะมีผลผูกพันกับรัฐบาลชุดต่อไป
สำหรับการแก้ไขสัญญาร่วมทุนฯ รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ประเด็นปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ (PIC) ทั้งโครงการจากเดิมกำหนดชำระเงินเมื่อก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จ และเริ่มเปิดให้บริการเดินรถแล้วจำนวนไม่เกิน 149,650 ล้านบาท มาเป็นโดยรัฐต้องจ่ายเร็วขึ้นตามจ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่รฟท.ตรวจรับโดยเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็น 160,000 ล้านบาท (สำหรับค่างานโยธาและค่าระบบรถไฟฟ้า) เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างและเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงฯได้ภายใน 5 ปี โดยวงเงินรวมเป็น 125,932.54 ล้านบาท วิธีสร้างไปจ่ายไปทำให้รัฐประหยัดค่าดอกเบี้ยได้ประมาณ 24,000 ล้านบาท
ส่วนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก นั้น จากที่บอร์ด EEC เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 68 มีมติรับทราบปัญหาอุปสรรค และแนวทางการแก้ไข รวมถึงทางบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนลเอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ผู้รับสัมปทานฯ ได้ติดตามเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ นั้น ในการประชุม ครม. วันพรุ่งนี้ (2 ก.ย.) จะมีการเสนอ ครม.เพื่อทราบตามมติบอร์ด EEC ตามขั้นตอน
สำหรับประเด็นที่มีการแก้ไข คือ ทาง UTA จะสละเงื่อนไขในการออก NTP ให้เริ่มงาน โดยไม่รอโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงการพัฒนา จาก 4 ระยะ เป็น 6 ระยะ และในระยะแรกปรับการพัฒนาขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารเป็นเฟสย่อย โดยอาจจะเริ่มต้นที่ 3 ล้านคน จากเดิมที่ 12 ล้านคน/ปี เพื่อลดการลงทุนให้เหมาะสมกับจำนวนผู้โดยสาร
ขณะที่ EEC เห็นว่าการก่อสร้างที่ 3 ล้านคนไม่เหมาะสม ระยะแรกควรก่อสร้างรองรับที่ 6-8 ล้านคน แต่อาจจะทยอยเปิดเป็นส่วน ๆ ได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการเจรจากันมาแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งหลังจากครม.รับทราบกรอบแนวทางแล้ว จะเร่งสรุปการเจรจาให้ได้ข้อยุติการปรับแผนการพัฒนา จากนั้นจะต้องเสนอ ครม.อีกครั้ง เพื่อเดินหน้าโครงการ แต่จะไม่มีการแก้ไขสัญญา เพราะใช้วิธีการบริหารสัญญาได้
สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท มีบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) เป็นบริษัทร่วมทุนฯ บมจ. การบินกรุงเทพ (BA), บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS), และบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STECON) เป็นบริษัทคู่สัญญา