
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.ประเมินว่าปี 2568 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทย จะขยายตัวได้ 1.8%-2.2% ขณะคาดว่ามูลค่าการส่งออกปีนี้ จะขยายตัวได้ 2-3% อัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ 0.5-1.0%
"ครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวได้เพียง 1% โดยปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่ประเทศจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ" นายผยง ระบุพร้อมมองว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยเศรษฐกิจไตรมาส 2/68 ขยายตัวได้ 2.8% ลดลงจาก 3.2% ในไตรมาส 1/68 ส่วนอัตราการว่างงาน ไตรมาส 2/68 เพิ่มขึ้นเป็น 2.07% จาก 1.88% เมื่อไตรมาส 1/68 และมีจำนวนผู้เสมือนว่างงานอยูที่ 2.1 ล้านคน สูงขึ้นราว 5% จากปีก่อน ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้าง-อสังหาฯ และภาคเกษตรชะลอตัว ความเปราะบางของ SMEs เห็นได้ชัดจากยอดค้างชำระหนี้เกิน 90 วันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ขนาดเล็กที่ยอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท
นายผยง กล่าวว่า กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่กลับมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน ยังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของธุรกรรมทองคำและคริปโตฯ รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านช่องทางในระบบ ทำให้การเกินดุลการชำระเงินกว่าครึ่ง ไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน (Errors & Omissions)
"หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความสำคัญกับการแยกแยะ และวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมทองคำ ต่อภาคเศรษฐกิจ (Real Sector) รวมถึงปรับปรุงและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้น เช่น พิจารณากลไกลงทุนต่างประเทศ ผ่านกองทุน Sovereign Wealth Fund" ประธาน กกร.ระบุด้านเศรษฐกิจโลก ยังคงปั่นป่วนจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการรอผลตัดสินจากศาลสูงสุด ภายหลังศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ตัดสินว่าการขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆ ขัดต่อกฎหมาย นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ปลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้การประมาณการเศรษฐกิจโลกสำหรับปีนี้ ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
กกร. เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ยังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก และสงครามการค้า และปัจจัยภายใน อย่างต้นทุนพลังงาน ค่าจ้างขั้นต่ำ และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ที่มีความเปราะบาง
ดังนั้น จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลด หรือผ่อนปรนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไม่น้อยกว่า 50% ในปี 2569 หรือจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน เสริมสภาพคล่อง ลดความเสี่ยงจากการปิดกิจการ และกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบเชิงลบ ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม
นอกจากนี้ กกร. ยังมีความเห็นว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจ่ายอัตราค่าจ้าง ตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน มากกว่าการปรับขึ้นค่าจ่างขั้นต่ำ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill , Multi-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้อง กับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) สามารถลดต้นทุน และสร้างความสามารถในการแข่งขัน
นายผยง กล่าวด้วยว่า จากที่ กกร. ได้เข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เมื่อต้นเดือนก.ค.68 ด้วยตระหนักถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ทั้ง 1) ความเปราะบางที่มีอยู่เดิม ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ 2) ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ ขาดการลงทุนพัฒนาผลิตภาพ ขณะที่แรงงานขาดทักษะที่จำเป็น และ 3) ความท้าทายของภาครัฐ จากพลวัตของการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รุนแรงและรวดเร็ว และการไม่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงของนโยบายภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงได้เห็นร่วมกันในการจัดทำกรอบแนวทางการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
จากความร่วมมือดังกล่าว ได้นำไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand - A Platform for Sustainable Policy Execution เป็นเวทีร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืนเพื่อทุกคน ที่มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง สร้างพลวัตใหม่เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
โดย Reset Thailand จะถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ของทุกองค์กรแนวร่วม เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทาง และสร้างแนวร่วมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดยภาคเอกชนจะร่วมเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน และอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อ และส่งเสริมให้เกิดการเร่งปรับตัว และเรียงลำดับความสำคัญ
นายผยง กล่าวว่า แพลตฟอร์มนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่ทุกฝ่ายจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการดำเนินการ โดยมีการสร้างพื้นที่การมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบาย การกลั่นกรองแนวทาง การขับเคลื่อนการดำเนินงาน และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง (Result Oriented) โดยเน้นการใช้ข้อมูล (Data-Driven) เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาอย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน พลิกฟื้นศักยภาพในการแข่งขัน
ทั้งนี้ Reinvent Thailand ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง โดยจะเริ่มประสานเพื่อผลักดันนโยบายเร่งด่วน 2 เรื่องที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง ได้แก่
1. การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยบูรณาการทั้งระบบ เชื่อมโยงข้อมูลนำไปสู่การเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ
2. การเพิ่มขีดความสามารถของภาคเอกชน เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน เน้นการลงทุนในเทคโนโลยี ยกระดับทักษะแรงงานและการผลิตด้วยคนไทย สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่แข่งขันได้ในระดับสากล โดยมีมาตรการจูงใจจากรัฐ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ เพื่อสร้างตลาด
"ทั้งสองนโยบาย เป็นเพียงตัวอย่างของแนวนโยบายที่สะท้อนวิธีคิดใหม่ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในอนาคต โดยแนวทางที่วางไว้ภายใต้แพลตฟอร์มนี้ ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ และความต่อเนื่องของนโยบาย สามารถใช้เป็น "เข็มทิศ" ให้กับทุกรัฐบาล ในการวางนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ เพิ่มทักษะ สร้างการจ้างงาน รายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคนได้อย่างเป็นรูปธรรม และวัดผลได้" ประธาน กกร.กล่าว
นายผยง กล่าวถึงกรณีการเมืองอาจเกิดสุญญากาศว่า สิ่งที่อาจเกิดขึ้นคืออาจมีกลุ่มเปราะบางเพิ่มขึ้น จากการเกิดการชะงักงันทางเศรษฐกิจที่ซึมยาวขึ้น
อย่างไรก็ดี มองว่ากรอบในการดูแลแบบประคับประคองยังไปได้ แต่สิ่งสำคัญคือสายป่านยาวไม่เท่ากัน ซึ่งการประคองคือต้องใช้สายป่านของทรัพยากรสาธารณะที่มีในระบบ ดังนั้น ต้องเร่งให้การชะงักงันตรงนี้จบโดยเร็ว จะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น จนไปถึงการจับจ่ายใช้สอย การลงทุนใหม่ที่จะเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
ส่วนแนวโน้มหนี้เสียของธุรกิจในครึ่งปีหลัง ในธุรกิจขนาดใหญ่เทรนด์หนี้เสียลดลง แต่ในธุรกิจขนาดกลาง เล็ก ไมโคร และซูเปอร์ไมโคร ยิ่งเปราะบางเท่าไร ก็ยิ่งมีเทรนด์ที่การเป็นหนี้เสียสูงขึ้นเท่านั้น สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังก้าวสู่การชะงักงัน
สำหรับประเด็นเรื่องความกังวลเรื่องการถูกหั่นเครดิตเรตติ้ง นายผยง กล่าวว่า มาจากเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งในระยะสั้นยังไม่มีประเด็น แต่เวลาเขาประเมิน เขาประเมินรายได้ของรัฐในระยะยาว ซึ่งดูเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นำไปสู่ความสามารถในการจัดเก็บภาษี และการนำภาษีที่ได้ไปบูรณาการในพื้นที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต
"ผลกระทบดังกล่าวเป็นข้อกังวลที่เขาถามมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ เกิดคำถามว่าการซึมจะยาวขึ้นหรือไม่ การชะงักงันจะยาวขึ้นหรือไม่ จะสามารถจบเร็วได้หรือไม่ จะสามารถใช้หน้าต่างนี้เป็นโอกาสในการพลิกพื้น เป็นโอกาสได้ขนาดไหน" นายผยง กล่าวนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์ส่งออกช่วง 7 เดือนที่ผ่านมายังขยายตัวเป็นบวก แต่มีความกังวลว่าในไตรมาส 4/68 อาจชะลอลงบ้าง ปัจจัยหลักเนื่องจากเงินบาทแข็งค่ามาก และกังวลเรื่องการจับจ่ายใช้สอย ที่งบประมาณปี 68 ยังเบิกจ่ายไปไม่มาก ขณะที่งบฯ ปี 69 ก็กังวลว่าจะขยับไม่ได้
ส่วนสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ จะส่งผลกระทบต่อเรื่องการเจรจาภาษีทรัมป์หรือไม่ เชื่อว่าไม่กระทบ ตอนนี้เป็นขั้นตอนการเจรจาประชุมทางเทคนิค อย่างไรก็ดี ถ้าเกิดการยุบสภาจริง ครม.รักษาการก็ยังอยู่ นายพิชัย ชุณหวิชร รมว.คลัง ก็ยังทำงานต่อได้ เพียงแต่เรื่องที่เกี่ยวกับงบประมาณทำไม่ได้ ยกเว้นว่าเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น หรือถ้าไม่ยุบสภา ก็จะมีการเสนอตั้งรัฐบาลในอีกไม่กี่วัน ตั้งเสร็จก็มีคนมาทำงานต่อได้ และงานพวกนี้ไม่ได้อยู่ที่นายพิชัยเพียงคนเดียว ยังมีข้าราชการประจำกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคลัง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีก
นายเกรียงไกร กล่าวว่า อีกประเด็นที่น่ากังวล คือสถานการณ์ทางการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา โดยรวมตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ค. 68 ยอดโดยรวม -9.5% โดยในเดือน ก.ค. ส่งออกเหลือแค่ประมาณ 370 ล้านบาท หรือหายไป -97% ซึ่งต้องเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งทางตรง ที่ขายสินค้า และทางอ้อมที่เป็นโรงงานซัพพลายเชน