
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า เศรษฐกิจโลกขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง อีกทั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เข้ามาแทรกแซงความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้ตลาดการเงินคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอย่างเร็วและแรง โดยเริ่มในเดือนก.ย.นี้
โดยความผันผวนและความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐ เริ่มส่งผลให้การจ้างงานในสหรัฐเริ่มชะลอลง และทำให้ความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินดอลลาร์ฯ ถูกบั่นทอนลง ส่งผลให้ในปีนี้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าไปแล้วเกือบ 10% ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วราว 7% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน

นายบุรินทร์ มองว่า ความชัดเจนของปัจจัยการเมืองไทย หลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามานำทีม และการเตรียมแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำงานในกระทรวงต่าง ๆ ทำให้เริ่มมีความเชื่อมั่นกับเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น โดยคาดหวังการที่รัฐบาลชุดใหม่ที่มีระยะเวลาในการทำงานสั้น จะเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา โดยเฉพาะการผลักดันโครงการ "คนละครึ่ง" กลับมาใช้ ซึ่งมองว่าเป็นมาตรการแรกที่สามารถทำได้เร็ว รวมทั้งมาตรการในส่วนอื่น ๆ เช่น โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ เพื่อช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์
นอกจากนี้ ยังมองว่าการที่รัฐบาลชุดใหม่ จะสนับสนุนมาตรการลดภาษี เพื่อดึงดูดแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี หรือแรงงานที่มีทักษะเฉพาะด้านเข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยสร้างเม็ดเงินให้เข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมได้ รวมทั้งสามารถช่วยพัฒนาขีดความสามารถของแรงงาน และภาคธุรกิจในประเทศได้เช่นกัน
นายบุรินทร์ มองว่า ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยตอนนี้ แม้ว่าจะมีความชัดเจนทางการเมืองแล้ว ก็ยังต้องติดตามในเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้เร็วเพียงใด เพราะจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงความกังวลเรื่องการพิจารณาอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐ ที่ 19% ซึ่งได้ผ่านการเจรจากับสหรัฐฯ มาแล้วนั้น จะได้รับการพิจารณาจากสภาฯ เร็วหรือช้าอย่างไร ซึ่งหากมีการพิจารณาที่ช้าไป ก็อาจจะไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ ทำให้อาจจะมีผลต่อภาคส่งออกของไทยได้เช่นกัน
- ปรับเพิ่ม GDP ไทยปีนี้โต 1.8% ลุ้น กนง.หั่นดอกเบี้ยอีกรอบ
ด้าน น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 เพิ่มขึ้นเป็น 1.8% จากเดิม 1.5% จากแรงหนุนการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐก่อนมาตรการภาษี ตามมาตรา 232 และภาษีสินค้าอ้อมผ่านประเทศที่สาม (Transshipment) มีผลบังคับใช้ ทำให้การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังอาจชะลอตัวลงน้อยกว่าที่คาด โดยคาดว่าการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลัง จะเห็นการหดตัวราว 7.4% จากครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้สูง 15% ส่งผลให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคนั้นลดต่ำลง
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ยังมีความท้าทายจากผลกระทบทางตรง และทางอ้อมจากภาษีสหรัฐฯ การท่องเที่ยวที่ชะลอตัว และปัจจัยทางการเมืองที่ยังต้องติดตาม
ขณะที่ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะที่เหลือของปี 68 นั้น มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งมาควบคู่กับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้าของรัฐบาลใหม่
น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ภาคการผลิตเพื่อส่งออกในกลุ่มที่ใช้วัตถุดิบในประเทศน้อยกว่า 50% อาจเสี่ยงโดนภาษี Transshipment ของสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ ซึ่งมีสัดส่วนราว 27% ของสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ขณะที่ประเมินว่าอัตราภาษีเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Effective rate) ของไทย น่าจะอยู่ที่ราว 26% ต่ำกว่ามาเลเซีย แต่สูงกว่าเวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยไทยมีสัดส่วนสินค้าที่โดนภาษีสูงกว่า 19% เกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ทำให้ยังเป็นโจทย์ที่ต้องเร่งดูแลภาคการผลิต เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเป็นลูกโซ่ที่จะมีต่อภาคธุรกิจ และแรงงาน
ขณะที่ นายรุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้ขยายความถึงผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายใต้ Section 232 ว่า จะมีผลกระทบต่อไทยชัดเจนมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสินค้าไทยเผชิญประเด็นภาษีดังกล่าวในสัดส่วนเพียง 12.3% ของมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากไทยทั้งหมด มาที่สัดส่วน 19.5% หลังการประกาศเริ่มเก็บภาษีนำเข้า Semiconductor ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงราวไตรมาส 4/68
โดย Semiconductor เป็นกลุ่มสินค้าที่จะถูกเก็บภาษีสูงถึง 100-300% แม้ว่าในรอบแรก ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มี Semiconductor เป็นส่วนประกอบ เช่น ฮาร์ดดิสก์ และคอมพิวเตอร์ จะยังไม่ถูกเก็บภาษีดังกล่าวก็ตาม ผลกระทบจากการเก็บภาษีข้างต้น คาดว่าจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออก Semiconductor ของไทย พลิกจากเติบโตด้วยเลข 2 หลักในปีนี้ เป็นการหดตัวลงราว 4.8% ในปี 69 เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ ครองสัดส่วนส่งออก Semiconductor ไทยสูงถึง 16.2%