
ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 31.65-31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี
บางคนอาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณดีสำหรับผู้นำเข้า(Import) หรือนักลงทุนต่างชาติในบางกรณี แต่ในระดับภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโดยรวม จะมีผลเสียจะมีค่อนข้างชัดเจน และหลายด้านดังนี้
1. กระทบการส่งออก (Export)
สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้นเมื่อแปลงเป็นสกุลเงินต่างประเทศ ทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
ผู้ซื้อสินค้าไทย จากต่างประเทศอาจหันไปเลือกสินค้าจากคู่แข่ง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ที่ค่าเงินอ่อนกว่า
ภาคการส่งออก (Export) ถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย คิดเป็น 60% ของ GDP ที่อาจจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว
2. กระทบการท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวต่างชาติ จะลดอันดับทางเลือกในการท่องเที่ยวของไทยไปอยู่อันดับรองลงไป หากเงินบาทแข็งค่า โดยรู้สึกว่า "ไทยแพงขึ้น" เพราะเมื่อแลกเงินเป็น "เงินบาท" แล้วใช้จ่ายได้ลดลง
รายได้การท่องเที่ยว ถือเป็นตัวขับหลักของเศรษฐกิจไทย หลังจบปัญหาโควิดมีความเสี่ยงที่อาจจะเติบโตช้าลง
3. รายได้ภาคการเกษตรและผู้ประกอบการรายเล็ก
สินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ซึ่งขายเป็นเงินดอลลาร์ แต่เมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาทจะได้น้อยลง ทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ SME ที่พึ่งพาการส่งออกจะถูกกดดันหนัก และอาจกระทบผลประกอบการในไตรมาส 3/68
4. ผลกระทบต่อตลาดแรงงาน ในส่วนของการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม
ภาคอุตสาหกรรมส่งออก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสิ่งทอ ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาจต้องลดกำลังการผลิต เนื่องจากมีการชะลอคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศ ทำให้โรงงานต้องกำลังการผลิต เสี่ยงต่อการลดการจ้างงาน หรือลดค่าล่วงเวลา และอื่นๆ
5. การไหลออกของเงินทุน
แม้ค่าเงินบาทแข็งอาจดึงดูดเงินทุนระยะสั้นเข้ามาเก็งกำไร แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว หากเศรษฐกิจชะลอลงทั้งจากการส่งออกและท่องเที่ยวที่อ่อนลง เงินทุนก็อาจจะไหลออกในที่สุด ทำให้ตลาดหุ้นไทยขาดแรงหนุนจาก Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติ
6. กระทบต่อ GDP โดยรวม
ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกและท่องเที่ยวสูง เมื่อ 2 ภาคส่วนนี้ชะลอตัว จะทำให้การเติบโตของ GDP ถูกกดดันให้ลดลง และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค
"ความแข็งแรง" ของ "ค่าเงินบาท" ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจไทยจะแข็งแรงตามไปด้วย หากแต่เสี่ยงที่จะเป็นตัวกดดันเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทยได้
ธิติ ภัทรยลรดี