ไทยใช้สิทธิ FTA ช่วงครึ่งปีแรก โตต่อเนื่อง 10.22% มูลค่ากว่า 4.4 หมื่นล้านดอลล์

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday September 10, 2025 11:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ไทยใช้สิทธิ FTA ช่วงครึ่งปีแรก โตต่อเนื่อง 10.22% มูลค่ากว่า 4.4 หมื่นล้านดอลล์

กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 44,785 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ FTA 79.64% เติบโตจากปีก่อน 10.22% พร้อมชูศักยภาพของตลาดอาเซียน จีน และอินเดีย

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่ารวม 44,785 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ FTA 79.64% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.22%

โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียน ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 มูลค่า 15,732 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 67.69% อันดับ 2 เป็นการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 12,618 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 92.59% อันดับ 3 ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 5,530 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 75.35% อันดับ 4 ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 3,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 77.24% และอันดับ 5 ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 2,751 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 57.58%

สินค้าที่มีการขอใช้สิทธิ FTA สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียนสด ยานยนต์สำหรับขนส่งของ ยางสังเคราะห์และแฟกติชที่ได้จากน้ำมัน แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) และน้ำตาลที่ได้จากอ้อย ซึ่งสินค้า 5 อันดับแรกนี้ ยังคงเป็นสินค้าหลักในการขับเคลื่อนการส่งออกของไทยในหลายตลาด

สำหรับสินค้าที่มีการใช้สิทธิฯ สูงในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 แบ่งเป็นสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ได้แก่ ทุเรียนสด น้ำตาลที่ได้จากอ้อย ไก่ที่ปรุงแต่ง เนื้อของสัตว์ปีกเลี้ยงแช่เย็นจนแข็ง และผลไม้สด (ฝรั่ง มะม่วง และมังคุด) มูลค่ารวม 12,514 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 27.94% ของมูลค่าการใช้สิทธิฯ ทั้งหมด และสินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ และเครื่องปรับอากาศชนิดติดผนังหรือ ติดเพดาน และแพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ มูลค่ารวม 32,271 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 72.06% ของมูลค่าการใช้สิทธิฯ ทั้งหมด

นางอารดา กล่าวว่า กรมการค้าต่างประเทศ ได้ติดตามและรวบรวมข้อมูลการใช้สิทธิภายใต้ FTA จำนวน 12 ฉบับ จากทั้งหมด 14 ฉบับที่ไทยมีอยู่ โดยยกเว้นความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) ที่ใช้การรับรองตนเองของผู้ส่งออก (Self-Declaration) ลงบนเอกสารทางการค้า โดยไม่ผ่านกรมการค้าต่างประเทศ และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง (AHKFTA) เนื่องจากฮ่องกงเป็น Free Port มีอัตราภาษีนำเข้าที่ 0% ทุกรายการ

นอกจากการติดตามการใช้สิทธิภายใต้ FTA แล้ว กรมการค้าต่างประเทศ ได้ติดตามการใช้สิทธิฯ สำหรับการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันไทยได้รับสิทธิ GSP จาก 4 ประเทศ/กลุ่มประเทศ ได้แก่ โครงการ GSP ของสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ซึ่งประกอบด้วย ยูเครน อาเซอร์ไบจาน ทาจิกิสถาน มอลโดวา อุซเบกิสถาน จอร์เจีย และเติร์กเมนิสถาน

สำหรับโครงการ GSP ของสหรัฐฯ นั้น แม้ว่าจะหมดอายุไปแล้วตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2563 และขณะนี้รัฐสภาสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายเพื่อต่ออายุโครงการดังกล่าว แต่กรมการค้าต่างประเทศ ได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแจ้งการขอใช้สิทธิ GSP อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบการ เนื่องจากที่ผ่านมากฎหมายการต่ออายุ GSP จะมีบทบัญญัติการให้คืนภาษีนำเข้าย้อนหลัง เมื่อโครงการฯ ได้รับการต่ออายุ

โดยในครึ่งปีแรกของปี 2568 มีมูลค่าการใช้สิทธิ GSP รวม 1,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 45.40% โดยประเทศปลายทางที่ไทยมีการส่งออกไปมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ สหรัฐฯ มีมูลค่าการแจ้งขอใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 1,711 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 47.91% สวิตเซอร์แลนด์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 119.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 26.91% นอร์เวย์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 7.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 46.70% และกลุ่มประเทศ CIS มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 1.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 8.68% ตามลำดับ

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเสริมว่า ในยุคที่การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศเข้มข้นขึ้น การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจาก FTA จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง ทั้งในด้านขนาดเศรษฐกิจ จำนวนประชากร และความต้องการบริโภคที่หลากหลาย เช่น ตลาดอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดที่มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์สูงที่สุดสำหรับไทย, ตลาดจีน ที่ยังคงเป็นตลาดอันดับหนึ่งสำหรับผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียน ที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง และตลาดอินเดีย ที่มีศักยภาพการบริโภคสูงจากแนวโน้มการเติบโตของประชากรกลุ่มที่มีกำลังซื้อ

"ทั้ง 3 ตลาดนี้ ไม่เพียงแต่เป็นคู่ค้าอันดับต้น ๆ ของไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการไทยมีการใช้สิทธิภายใต้ FTA อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องอีกด้วย" นางอารดากล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ