
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ และปี 69 โดยใช้สมมติฐานว่าการเมืองไทยในขณะนี้มีเสถียรภาพไปจนกว่าจะมีการยุบสภา โดย ณ ปัจจุบัน ม.หอการค้าไทย ยังประเมินในมุมมองเดิมว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีโอกาสเติบโตได้ 2% หรือบวก/ลบ จากนี้ได้อีกเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัวได้แล้ว 3%
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 4/68 หากมีการเริ่มใช้โครงการ "คนละครึ่ง" ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 70,000-100,000 ล้านบาท ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โตได้ 2-3% ซึ่งเมื่อรวมทั้งปีแล้ว ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยปีนี้ โตได้ไม่ต่ำกว่า 2.5%
"โครงการคนละครึ่ง ที่คาดว่าจะใช้งบประมาณในเฟสแรก 2.5 หมื่นล้านบาทนั้น จะเป็นหลักประกันว่าทำให้มีเม็ดเงินลงไปหมุนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 5 หมื่นล้านบาท และจะมีเงินเติมลงไปจากภาคประชาชนที่มีเงินออมเหลือ ซึ่งรวมแล้วอาจจะเป็น 7 หมื่นล้านบาทเป็นอย่างน้อย เงินเหล่านี้จะถูกใช้จ่าย คนที่มีรายได้น้อยจะใช้หมดเต็มวงเงินตามเงื่อนไข ร้านค้าจะสั่งวัตถุดิบในพื้นที่ทันที ดังนั้นสารตั้งต้นที่ 2.5 หมื่นล้านบาท อาจจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 70,000-100,000 ล้านบาทในเบื้องต้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 โตเพิ่มจากเดิมได้อีก 1-2% ได้ และทำให้ครึ่งปีหลังอาจจะโตได้ 2.2-3% ซึ่งเมื่อรวมทั้งปีแล้ว มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้ 2.5% หรืออาจมากกว่านั้น ดังนั้นการใช้นโยบายคนละครึ่งในช่วงไตรมาส 4 จึงเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจได้" นายธนวรรธน์ กล่าวพร้อมเสนอว่า หากรัฐบาลใหม่ทำโครงการ "คนละครึ่ง" 2 เฟส ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มเม็ดเงินที่ลงไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้นอีกจากเฟสแรก ที่คาดว่า 70,000-100,000 ล้านบาท และเฟส 2 อีก 100,000 - 150,000 ล้านบาท ก็จะเป็นโมเมนตัมสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในปี 69 ซึ่งถ้ายังมีการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เป็นแรงหนุนต่อเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/69 ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลายุบสภาในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งเพียงพอเพื่อรองรับกับการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 69 มีโอกาสที่จะโตได้ในกรอบ 2.5-3.0%
"ดังนั้นจึงมีความสำคัญมากในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทันทีทั่วประเทศพร้อมกัน และสามารถทำได้เร็ว และเงื่อนไขในการออกแบบโครงการที่ทำให้มีการใช้เงินในช่วงไตรมาส 4/68 แต่เงื่อนไขสำคัญคือ มีวงเงินใช้จ่ายเท่าไร มีกี่คนที่จะได้รับสิทธิ และเงื่อนไขการใช้จ่ายต่อวัน ซึ่งจะมีผลต่อการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแตกต่างกัน เราคาดหวังว่าว่าที่ รมว.คลังคนใหม่ ที่มาจากกระทรวงการคลัง การวางเงื่อนไขมีความสำคัญมากที่จะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว" นายธนวรรธน์ กล่าวนายธนวรรธน์ ยังมองถึงทิศทางดอกเบี้ยว่าจะเป็นขาลง โดยเชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงได้อีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ (กนง. เหลือการประชุมอีก 2 ครั้ง คือ 8 ต.ค. และ 17 ธ.ค.68) เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ติดลบ และอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3%
อย่างไรก็ดี ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ จะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้อีกครั้ง พร้อมกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 69 ภายหลังจากที่ได้รับฟังการแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่เป็นที่ชัดเจนเรียบร้อยแล้ว
"ณ ตอนนี้เรายังมองเศรษฐกิจไทยปีนี้โตได้ 2% บวก/ลบ แต่เราเริ่มมองในมุม upside ที่เศรษฐกิจไทยมีโอกาสโตได้ในกรอบ 2-2.5%" นายธนวรรธน์ ระบุ