นายวรภัค ธันยาวงศ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) ว่าที่ รมช.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเสนอแนวทางจัดการหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สมาคมธนาคารไทย และผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย 3 ราย ได้ประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรกเพื่อ kick-off การออกแบบกลไก Risk-Based Pricing (RBP) อย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย
การประชุมครั้งนี้ถือเป็น "จุดเปลี่ยน" ของระบบสินเชื่อไทยที่ไม่ใช่แค่การลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ที่ดีเท่านั้น แต่ยังเปิดประตูให้ลูกหนี้ที่เสี่ยงสูงซึ่งเคยถูกทิ้งไว้ข้างนอกระบบ ได้กลับเข้ามาในระบบการเงินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
นายวรภัค ระบุว่า Risk-Based Pricing คืออนาคตของสินเชื่อไทย "เสี่ยงสูงกู้ได้ เสี่ยงต่ำกู้ถูกลง" คำนี้ไม่ใช่แค่นโยบายสวยหรู แต่เป็นการปฏิวัติวิธีคิดเรื่อง "ความยุติธรรมทางการเงิน" (financial fairness) ที่ประเทศไทยกำลังจะเดินหน้าอย่างจริงจังภายใต้โครงการ Reinvent Thailand พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย
ที่ผ่านมา การถกเถียงเรื่อง "เพดานดอกเบี้ย" ถูกมองว่าคือการปกป้องผู้บริโภค แต่ในโลกจริง เพดานที่ต่ำเกินไป เช่น 25% ต่อปี กลับเป็น ดาบสองคม ที่
- ทำให้ผู้ปล่อยกู้ไม่สามารถให้กู้แก่ลูกค้าที่เสี่ยงสูงได้
- ผู้กู้จำนวนมากจึง ไม่มีทางเลือก และต้องกลับไปพึ่งพาหนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ย 60-200% ต่อปี
- ระบบการเงินจึง ไม่สามารถสร้างประวัติเครดิต ให้กับประชาชนจำนวนมากได้เลย
กลไก RBP ที่ ธปท. และ สศค. กำลังผลักดัน จะช่วยสร้าง ระบบสินเชื่อที่มีดอกเบี้ย "ตามความเสี่ยง" ด้วยวิธีคิดใหม่ เช่น:
- ลูกหนี้ที่มีประวัติชำระดี ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง
- ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง กู้ได้ในอัตราที่เหมาะสมกับความเสี่ยง โดยไม่ต้องพึ่งเจ้าหนี้เถื่อน
- ทุกคนเริ่ม "สร้างเครดิต" ได้จากศูนย์ สร้างวงจรบวกให้ชีวิตทางการเงิน
แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักการ Financial Inclusion + Responsible Lending อย่างแท้จริง และหากออกแบบดี จะ "ตัดตอน" หนี้นอกระบบจากรากฐาน
นายวรภัค ระบุอีกว่า ไม่ใช่แค่ไทยที่คิดแบบนี้ - โลกเดินมาทางนี้แล้ว อาทิ
- อินเดีย: ยกเลิกเพดานดอกเบี้ยไมโครไฟแนนซ์ในปี 2022 ใช้สูตร risk-adjusted pricing + รายงานต่อธนาคารกลาง
- อินโดนีเซีย: ธนาคาร BRI ใช้ RBP กับลูกค้ารายย่อยกว่า 30 ล้านราย → ลด NPL, ขยายสินเชื่อทั่วประเทศ
- เคนยา: ปรับระบบ SME lending ด้วยการจัดระดับความเสี่ยงลูกค้าแบบโปร่งใส → สินเชื่อเติบโต 11.4% ภายในปีเดียว
อย่างไรก็ตาม RBP ไม่ใช่แค่ "คิดดอกเบี้ยตามใจ" - ต้องมีฝีมือ การใช้ RBP ต้องอาศัย ความสามารถของผู้ให้บริการ อย่างจริงจัง
1. มี credit model ที่แม่นยำ เช่น AI/ML + ข้อมูลทางเลือก
2. มีกลไกรับผิดชอบต่อผู้กู้ (เช่น disclosure แบบ Key Fact Statement)
3. มีกระบวนการช่วยเหลือหนี้เสีย ที่ไม่ทิ้งลูกค้าหลังปล่อยกู้
4. ลดต้นทุนต่อหน่วยด้วย digital infrastructure เช่น mobile underwriting
"นั่นหมายความว่า ไม่ใช่ใครก็ทำ RBP ได้ - จะต้องเป็นผู้ให้บริการที่มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี จริยธรรม และทุนมนุษย์"สำหรับแนวคิดที่ธปท.และหน่วยงานรัฐเสนอ คือให้มีการดำเนินการในรูปแบบ pilot sandbox เพื่อประเมินว่า
- ผู้ให้บริการสามารถใช้ระบบ RBP ได้จริงหรือไม่?
- ระบบนี้สามารถลดหนี้นอกระบบได้จริงหรือไม่?
- จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยในระบบอย่างไร?
หากพิสูจน์แล้วว่าได้ผล จึงจะขยายการใช้ในวงกว้าง
นายวรภัค ระบุอีกว่า นี่คือการเปลี่ยนโครงสร้าง ไม่ใช่แค่เปลี่ยนนโยบาย หากไทยต้องการหลุดพ้นจากปัญหา "หนี้นอกระบบ" ที่เป็นโรคเรื้อรังของสังคมไทย RBP คือกลไกใหม่ที่ให้ "โอกาสกับทุกคน" ไม่ใช่แค่ "คุ้มครองเฉพาะคนที่กู้ได้อยู่แล้ว" ประเทศไทยไม่ควรกลับไปสู่นโยบาย "ตึงเพดานดอกเบี้ยแบบเหมารวม" อีกต่อไป แต่ควรเลือกเดินหน้า "กลไกกำหนดราคาตามความเสี่ยง" ที่เปิดโอกาสให้ ทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้เติบโตอย่างยั่งยืน