
นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปี หลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้า และการท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือน และหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย
ธนาคารออมสิน จึงเดินหน้ายุทธศาสตร์การเป็นธนาคารเพื่อสังคม ภายใต้ 4 ภารกิจหลัก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน และสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ให้กับประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะบทบาทการสนับสนุนภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ธนาคารพร้อมเป็นเครื่องยนต์ทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือ และประคับประคองผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ ให้ฟื้นตัวและก้าวข้ามช่วงเวลาที่ท้าทาย

นายวีระชัย กล่าวว่า ธนาคารออมสิน ตระหนักถึงข้อจำกัดที่ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการขาดสภาพคล่อง เงินทุนหมุนเวียน หรือภาระดอกเบี้ยที่สูง ธนาคารจึงพร้อมทำหน้าที่เป็น "แหล่งทุนต่อยอด" เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง เติมทุน และฟื้นฟูกิจการอย่างยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรมและต่อเนื่อง
โดยที่ผ่านมา ธนาคารได้ดำเนินโครงการสินเชื่อสำคัญหลายโครงการ เช่น
- สินเชื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ GSB D-Home สร้างบ้านเพื่อคนไทย วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 3.50% ต่อปี อนุมัติแล้ว 6,000 ล้านบาท
- โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up Plus วงเงิน 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี อนุมัติแล้ว 98,700 ล้านบาท
- โครงการใหม่ ทั้ง Soft Loan เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย
- โครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมง ระยะ 3 วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการประมง และสนับสนุนนโยบายรัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน
- เตรียม Soft Loan 1 แสนล้านบาท เสริมสภาพคล่อง SMEs
นายวีระชัย กล่าวว่า ธนาคารออมสินเตรียมออก Soft Loan เพิ่มเติม วงเงินโครงการ 100,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ นำไปปล่อยต่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.50% ต่อปี ใน 2 ปีแรก เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง และพัฒนาศักยภาพธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้
ขณะเดียวกัน ธนาคารยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมาก่อน โดย ณ 30 มิถุนายน 2568 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่าน 3 ภารกิจสำคัญ แบ่งเป็น 1.การสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงิน ผ่านนวัตกรรมสินเชื่อเพื่อสังคมกว่า 680,000 ราย 2.การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ช่วยลูกหนี้ไม่ให้เสียประวัติทางการเงินกว่า 800,000 ราย และการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านการสร้างอาชีพ และ 3.ส่งเสริมการออม โดยมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 250,000 ราย
- ขยายผล Social Impact ตั้งเป้าช่วยกลุ่มเปราะบาง ไม่ต่ำกว่าปีละ 2 ล้านคน
ธนาคารจะยังเดินหน้าขยายผลสร้าง Social Impact อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ผ่าน 4 ภารกิจหลัก ควบคู่กับการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เข้ามาช่วยยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการทางการเงิน ไฮไลท์สำคัญ ได้แก่
1. "AI Optimized Loan Processing and Underwriting" ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตลอดจนลดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงาน
2. "AI Chatbot for Branch" ผู้ช่วยพนักงานสาขาในการค้นหาข้อมูลอย่างสะดวก รวดเร็ว และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการมากขึ้น
"จะเริ่มใช้งานในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งหมดนี้ เพื่อยกระดับบริการทางการเงินให้ครบวงจร และเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน" รักษาการ ผอ.ธนาคารออมสิน ระบุ
- คาดผลกำไรปีนี้ ทำได้ตามเป้ากว่า 2 หมื่นล้านบาท
นายวีระชัย ยังกล่าวถึงผลประกอบการของธนาคารออมสินว่า ในช่วงครึ่งปีแรกธนาคารมีผลกำไรอยู่ที่ราว 16,000 กว่าล้านบาท และคาดว่าภายในสิ้นปี จะมีกำไรตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ คืออยู่ที่ประมาณ 20,000 กว่าล้านบาทใกล้เคียงปีก่อน โดยธนาคารไม่ได้เน้นการทำกำไรมาก เนื่องจากเป็นธนาคารเพื่อสังคม ทำกำไรให้เหมาะสม และนำกำไรที่ได้มาช่วยเหลือสังคมมากขึ้น
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายนั้น ประเมินว่าในช่วงสิ้นปีนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย มีโอกาสลงไปสู่ระดับ 1.00% และเชื่อว่าธนาคารจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก จากการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ส่วนยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารในปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 3.4% ทั้งนี้ เชื่อว่าจากการที่ทุกธนาคารต่างมีมาตรการในการช่วยเหลือลูกค้า รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ทำโครงการ "คุณสู้เราช่วย" จึงเชื่อว่ายอด NPL ในช่วงปลายปีคงไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก
- เชื่อปัดฝุ่น "คนละครึ่ง" กระตุ้นการใช้จ่ายกลับมาคึกคัก
รักษาการ ผอ.ธนาคารออมสิน มองว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก่อนที่จะมีเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีนั้น เคยประเมินการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้ไว้ว่าจะเติบโตได้ราว 2% แต่เมื่อประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ต้องรอดูไปสักระยะหนึ่งว่าหน้าตา ครม.จะเป็นอย่างไร ผลงานรัฐบาลจะสามารถเรียกความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจ และต่างประเทศได้หรือไม่
"ประเทศไหนก็ตาม ถ้าการเมืองนิ่ง เศรษฐกิจจะเติบโตดีขึ้น แต่บ้านเรา ก็ล้มลุกคลุกคลานเปลี่ยนตัวรัฐบาลหลายชุด แต่ถ้ารัฐบาลไหนอยู่ยาว มีทีมบริหารเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งดูหน้าตาจากคณะรัฐมนตรีชุดนี้ พอใช้ได้อยู่ ก็คิดว่าเศรษฐกิจไทย น่าจะมีทิศทางเติบโตที่ดีขึ้น ไม่ได้แย่อย่างที่คิด" นายวีระชัย กล่าวส่วนการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะการผลักดันโครงการ "คนละครึ่ง" กลับมาอีกครั้งนั้น นายวีระชัย มองว่า โครงการ "คนละครึ่ง" มีข้อดีในเรื่องของการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งข้อดีที่ส่งผ่านมาถึงธนาคาร คือ หากผู้ประกอบการทำธุรกรรมด้วยการโอนเงินผ่านแอปพลิเคชั่น จะทำให้ธนาคารเห็นประวัติการเดินบัญชี ซึ่งลูกค้าจะสามารถนำมาใช้ประกอบการพิจารณาขอสินเชื่อได้
"โครงการคนละครึ่ง จะช่วยกระตุ้นการใช้เงิน ในภาพรวม น่าจะดีกับพ่อค้า-แม่ค้า และช่วยกระตุ้นให้คนจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น" รักษาการ ผอ.ธนาคารออมสิน ระบุ