การเมืองไม่นิ่ง-ปัญหาชายแดน กดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ส.ค. ลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 86.4

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday September 17, 2025 10:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

การเมืองไม่นิ่ง-ปัญหาชายแดน กดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ส.ค. ลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 86.4

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนส.ค.68 อยู่ที่ระดับ 86.4 ปรับตัวลดลงจากระดับ 86.6 ในเดือนก.ค.68 ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง จากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดสถานะความเป็นนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 68 ที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย, ความไม่ชัดเจนของอัตราภาษีสหรัฐฯ ในประเด็น Regional Value Content (RVC) และรายการสินค้าที่จะเปิดตลาดให้สหรัฐ, ผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ปัญหาขาดแคลนแรงงานในระยะสั้น หลังจากแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ และเงินบาทแข็งค่า

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือน ส.ค. ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยค่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นเดือนที่ 37 เนื่องจากมีหลายปัจจัยลบมารุมเร้า

"สาเหตุที่ดัชนีฯ ลดลงเนื่องจากช่วงที่มีการสำรวจยังไม่มีความแน่นอนในเนื่องทางการเมือง" นายนาวา กล่าว

ขณะที่ยังพอมีปัจจัยบวก ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.50%, การอนุมัติงบประตุ้นเศรฐกิจ 18,500 ล้านบาท และยอดขายรถยนต์ในประเทศ มีแนวโน้มขยายตัว

สำหรับแนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ก.ย.68 น่าจะดีขึ้นหลังเห็นโฉมหน้ารัฐบาลแล้ว และการที่รัฐบาลมีอายุ ครม.สั้น โดยจะทำงานจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่อย่างน้อย 8 เดือน และมีความตั้งใจที่จะทำงานอย่างเข้มแข็งเต็มที่

"ด้วยเวลาและงบประมาณจำกัด เชื่อว่านายกรัฐมนตรีเลือกคนที่มีฝีมือ และไว้วางใจเข้ามาช่วยทำงาน และเท่าที่เห็นมีการทำงานแบบเสือปืนไว" นายนาวา กล่าว

ส่วนดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยมาอยู่ที่ระดับ 88.9 ทั้งนี้ค่าดัชนีฯ ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 สะท้อนว่าว่าความเชื่อมี่นของผู้ประกอบการอยู่ในระดับที่ไม่ดี โดยผู้ประกอบการมีความกังวลต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่, อุปสงค์จากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ดี มองว่าโครงการ "คนละครึ่ง" ที่รัฐบาลชุดใหม่จะนำกลับมาอีกครั้ง จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้

1. ขอให้เร่งติดตามข้อสรุปเกี่ยวกับเงื่อนไขภาษี Reciprocal Tariff โดยเฉพาะประเด็น Regional Value Content (RVC) รวมถึงรายการสินค้าที่ไทยจะเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบ

2. ขอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณด้านรายจ่ายลงทุน ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569

3. เสนอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ให้นำรายจ่ายค่าขนส่ง และโลจิสติกส์ส่วนเพิ่ม มาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า เป็นต้น

4. ขอให้ภาครัฐปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อสนับสนุนการนำวัสดุที่เหลือใช้ และผลิตภัณฑ์พลอยได้ ไปใช้เป็นประโยชน์ในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เช่น เศษอลูมิเนียม ขี้เถ้าแกลบ แม่พิมพ์เซรามิกใช้แล้ว เป็นต้น

สำหรับข้อเสนอของส.อ.ท.ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมในระยะเร่งด่วน อาทิ การปรับลดต้นทุนค่าไฟฟ้าอีก 4 สต.นั้น เป็นเรื่องดีที่มีการเริ่มต้น แต่หวังให้มีการพิจารณาปรับลดลงมากกว่านี้ โดยลดลงมากที่สุดแต่ไม่ส่งผลกระทบเรื่องความมั่นคง และมีการศึกษาเรื่องเชื้อเพลิงไบโอดีเซล ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่าส่งผลให้เสียเปรียบในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อรัฐบาลรับปากที่จะดูแล และมีการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ได้มีการประสานการทำงานล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นทิศทางน่าจะดีขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ