PwC ชี้ธุรกิจไทยใช้งาน AI agent ด้านการเงินต่ำ ติดข้อจำกัดคลาวด์ช้า-ต้นทุนสูง

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 18, 2025 12:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

PwC ชี้ธุรกิจไทยใช้งาน AI agent ด้านการเงินต่ำ ติดข้อจำกัดคลาวด์ช้า-ต้นทุนสูง

น.ส.วิไลพร ทวีลาภพันทอง หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจบริการทางการเงินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และหัวหน้าสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันองค์กรธุรกิจในประเทศไทยเริ่มทดลองนำปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบตัวแทน (AI agent) มาใช้งานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านการบริการลูกค้า การขาย การตลาด และงานภายในองค์กรที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่การนำ AI agent ไปใช้ในงานด้านการเงินขององค์กรยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร

"องค์กรไทยยังคงใช้ความระมัดระวังมากกว่าหลายประเทศ ด้วยเหตุผลหลักคือความกังวลเรื่องประสิทธิภาพการสื่อสารข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ที่อาจเกิดความล่าช้าหรือหน่วง ต้นทุนในการใช้เทคโนโลยี AI ที่ค่อนข้างสูง รวมถึงความต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและจับต้องได้" น.ส.วิไลพร กล่าว

ธุรกิจไทยจะได้รับประโยชน์อย่างมากหากนำ AI agent มาประยุกต์ใช้ในงานด้านการเงิน เพราะจะช่วยเปลี่ยนโฉมการทำงานของฝ่ายการเงิน จากเดิมที่เน้นการประมวลผลธุรกรรมมาสู่การทำงานอัตโนมัติที่มีระบบควบคุมและความแม่นยำสูง พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นการยกระดับบทบาทของฝ่ายการเงินให้กลายเป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และนักวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลและ AI

AI agent จะมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานด้านการเงินจากการดำเนินการที่ซ้ำซ้อนไปสู่ระบบอัตโนมัติและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เช่น การจัดการระบบเจ้าหนี้ (account payable: AP) ระบบลูกหนี้ (account receivable: AR) การกระทบยอดบัญชี การตรวจสอบสลิปและค่าใช้จ่าย รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องทางภาษี แจ้งเตือนความเสี่ยงก่อนยื่นภาษี ตลอดจนการคาดการณ์ทางการเงิน การพยากรณ์เงินสด และการบริหารสภาพคล่อง ส่งผลให้ฝ่ายการเงินสามารถลดระยะเวลาในการดำเนินงานได้

ข้อมูลของ PwC ระบุว่า AI agent สามารถช่วยลดระยะเวลาในการประมวลผลได้สูงสุด 90% และเพิ่มความแม่นยำกับความรวดเร็วในการคาดการณ์ได้ถึง 40% การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่การทำงานอัตโนมัติ แต่ยังมีบทบาทในการเสริมศักยภาพให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน โดยทำให้ทีมงานสามารถให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าเชิงธุรกิจ แทนที่จะใช้เวลากับงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ

แม้การนำ AI agent มาใช้ในงานด้านการเงินของไทยยังไม่แพร่หลายในปัจจุบัน แต่มีปัจจัยสนับสนุนหลายประการที่สามารถส่งเสริมให้การใช้งาน AI agent ในประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประสิทธิภาพสูงที่ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัล การดำเนินนโยบายรัฐบาลดิจิทัล (e-Government) ของภาครัฐ การยกระดับการยืนยันตัวตน (e-KYC) ทางดิจิทัลด้วยแพลตฟอร์ม National Digital ID (NDID) และแนวโน้มการลงทุนขยายศูนย์ข้อมูลในประเทศโดยผู้ให้บริการคลาวด์ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น การเตรียมบุคลากรให้พร้อมสำหรับการใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยองค์กรควรลงทุนในการยกระดับทักษะของบุคลากรผ่านหลักสูตร masterclass เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกรอบกำกับความเสี่ยง โอกาส การใช้งาน copilot และการตีความผลลัพธ์ของ AI ได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ควรจัดหาเครื่องมือและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เช่น พื้นที่ทดสอบโปรแกรมหรือเทคโนโลยี (secure sandbox) และคลังคำสั่ง AI (prompt library) เพื่อรองรับการทดลองใช้งานโดยไม่กระทบข้อมูลจริง

ในด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลง การจัดการแรงจูงใจและลดความกังวลของพนักงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบสำคัญ การกำหนดกรอบกำกับดูแลที่มีความครบถ้วนและตรวจสอบได้จะช่วยเสริมให้การนำ AI agent มาใช้ในฝ่ายการเงินเกิดความโปร่งใส ปลอดภัย และได้รับการยอมรับทั่วทั้งองค์กร

"การสร้างวัฒนธรรม AI ภายในองค์กรไม่เพียงแต่เป็นกุญแจสำคัญในการนำ AI agent มาใช้งานในฝ่ายการเงินหรือหน่วยงานต่าง ๆ อย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังช่วยขับเคลื่อนให้องค์กรไทยสามารถปรับตัวสู่การแข่งขันในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าการเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของผู้นำองค์กร การออกแบบเป้าหมายและโครงสร้างที่เหมาะสม รวมถึงการส่งเสริมทักษะและเครื่องมือที่จำเป็นจะช่วยให้องค์กรสามารถปลดล็อกศักยภาพของ AI agent ได้อย่างเต็มที่ นำไปสู่การสร้างคุณค่า เพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับบทบาทของฝ่ายการเงินให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคต" น.ส.วิไลพร กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ