นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT)มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะอดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หากทางการและ ธปท.ไม่สามารถอธิบายและเข้าใจข้อมูลคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (Net Errors and Omissions: NEO) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และมีความคลาดเคลื่อนสูงถึงไตรมาสละ 3-4 พันล้านดอลลาร์ คือไม่ทราบชัดเจนถึงเม็ดเงินที่มาที่ไปของเงินไหลเข้าออกย่อมเกิดความเสี่ยงต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ทำให้ประสิทธิภาพการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนไม่มีประสิทธิภาพ และแก้ปัญหาเงินบาทผันผวนไม่ตรงจุด
การทำความเข้าใจต่อข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในดุลการชำระเงินจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลคลาดเคลื่อนนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 3-4 ปีและมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนเงินไหลเข้าไหลออกเหล่านี้เป็นเงินสีเทาหรือเกี่ยวข้องกับธุรกรรมการฟอกเงินหรือไม่ก็ต้องมีการตรวจสอบและกำกับให้ชัดเจน หรืออาจเป็นเพียงการทำธุรกรรมนอกระบบที่ไม่ผิดกฎหมายเป็นหน้าที่โดยตรงของ ธปท.ต้องประสานความร่วมมือกับสำนักงาน ปปง. และหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงินอาจลดลงได้ด้วยการบันทึกธุรกรรมดุลการชำระเงินในระบบออนไลน์รวมศูนย์ และลดขนาดของการเก็บข้อมูลสถิติจากการสำรวจแบบ Survey Base การทำให้ธุรกรรรมส่วนใหญ่อยู่ในระบบออนไลน์รวมศูนย์จะทำให้เกิดการตรวจสอบได้ง่ายขึ้น โปร่งใสขึ้น
มีคนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งของการฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือการทำธุรกิจสีเทา จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องพัฒนาระบบกฎหมาย ระบบการกำกับควบคุมและกลไกเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานของการฟอกเงิน หากไทยตั้งเป้าจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุนในอนาคตจำเป็นต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้และสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น
ช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมายหรือที่ประมาณการเอาไว้ 37,637 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 827,805 ล้านบาท เนื่องจากมีการเบิกจ่ายใช้งบประมาณไป 3,165,629 ล้านบาท มีรายได้ส่งเข้าคลังเพียง 2,248,003 ล้านบาท สิ่งนี้สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้จากภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าเป้าหมาย ผลกำไรของบริษัทต่าง ๆ ลดลง มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมาก หากสถานการณ์เก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมายเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีก ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ และอาจเกิดขึ้นอีกในปีงบประมาณปี 2569 การใช้จ่ายงบประมาณแนวประชานิยมที่ไม่คำนึงถึงวินัยการเงินการคลังต้องไม่เกิดขึ้น
แม้จะเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าแต่การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าเป้าหมาย เราสามารถเพิ่มรายได้ของรัฐพร้อมเพิ่มการให้บริการประชาชนด้วยการการปฏิรูประบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการให้ดียิ่งขึ้น การปฏิรูปต้องทำให้บริการประชาชนได้ดีขึ้น ทั่วถึงและเพียงพอ ลดภาระการคลัง ลดการผูกขาดโดยรัฐ เพิ่มการแข่งขันโดยเอกชน การปฏิรูประบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการจึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร (Allocative Efficiency) และประสิทธิภาพทางเทคนิค (Technical Efficiency) ในการดำเนินกิจการ เพื่อลดภาระทางการคลัง (Fiscal Burden) บรรเทาปัญหาการตั้งราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน (Underpricing) เมื่อมีการแข่งขันผู้ประกอบการแต่ละรายแข่งขันกันอยู่บนพื้นฐานของต้นทุน
นอกจากนี้ การปฏิรูปทำให้เกิดโอกาสของการจัดหาสาธารณูปโภคสาธารณูปการที่มีคุณภาพดีขึ้น สามารถมีเงินทุนมาลงทุนขยายกิจการให้ทั่วถึงเพียงพอโดยไม่ต้องอาศัยเงินงบประมาณ เป็นการเพิ่มสวัสดิการทางสังคม การปฏิรูปต้องครอบคลุมสามมิติ ปฏิรูปโครงสร้าง ปฏิรูปการกำกับดูแล ปฏิรูปความเป็นเจ้าของ การเปิดเสรีและการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้มีการแข่งขันกันยังสามารถช่วยลดปัญหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ