คนไทยหนี้ท่วม! หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี แบงก์เข้มสินเชื่อหันกู้นอกระบบเพิ่ม-NPL เสี่ยงสูง

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 25, 2025 13:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 68 พบว่า ครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สินเฉลี่ย 740,596 บาท/ครัวเรือน ขยายตัว 22.1% จาก 606,378 บาท/ครัวเรือน ในปีก่อน หรือสูงสุดในรอบ 4 ปี (ตั้งแต่ปี 65) โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นหนี้ในระบบ 65% (ปี 67 ที่ 69.9%) และอีก 35% เป็นหนี้นอกระบบ (ปี 67 ที่ 30.1%)

สำหรับภาระก่อนผ่อนชำระต่อเดือน ในภาพรวมอยู่ที่ 20,290 บาท ขยายตัว 8% เทียบกับปีก่อน แบ่งเป็นหนี้ในระบบ 18,164 บาท และหนี้นอกระบบ 7,170 บาท

ส่วนประเภทหนี้สินอันดับ 1 มาจากบัตรเครดิต รองลงมาคือที่อยู่อาศัย และยานพาหนะ ทั้งนี้ หนี้ส่วนบุคคลหรือหนี้บัตรเครดิตส่วนใหญ่ จะนำมาใช้จ่ายกับการอุปโภคบริโภคมาเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือจะนำไปใช้จ่ายกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และประกอบธุรกิจ ตามลำดับ

ทั้งนี้ พบว่าการก่อหนี้ของกลุ่มตัวอย่าง แบ่งเป็น มีเฉพาะหนี้ในระบบ 50.9% (ปี 67 อยู่ที่ 59.9%) มีเฉพาะหนี้นอกระบบ 15.4% (ปี 67 อยู่ที่ 0.3%) และมีหนี้ทั้งในและนอกระบบ 33.7% (ปี 67 อยู่ที่ 39.8%)

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เรื่องหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยล่าสุดที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ หั่นแนวโน้มอันดับเครดิตไทยจากมีเสถียรภาพ ลงสู่เชิงลบ ก็มาจาก 2 ประเด็นคือ 1. หนี้สาธารณะของรัฐบาล และ 2. สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย ซึ่งไทยมีปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนสูงกว่า 80% ต่อ GDP มาเป็นเวลา 10 กว่าปี

ทั้งนี้ ถ้าในปี 68 เศรษฐกิจเติบโตได้ 2% ขึ้นไป หนี้ครัวเรือนต่อ GDP น่าจะอยู่ที่ 86% แต่ในส่วนของหนี้ครัวเรือนโดยรวม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และมีความเป็นเมืองสูงขึ้น ทำให้คนก่อหนี้ได้ง่ายขึ้น จากการที่มีระบบการผ่อนชำระที่ดีขึ้น รวมถึงการตลาดผ่อน 0% ส่งผลให้ปี 68 หนี้ต่อครัวเรือนสูงถึง 7.4 แสนบาท โดยส่วนใหญ่เกิดจากการซื้อทรัพย์สิน ซึ่งไม่ได้ผิดปกติอะไร แต่การขยายตัวของการก่อหนี้สูงถึง 22% ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี

"ในปี 64 ไม่มีการสำรวจเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ในช่วงโควิดสังเกตว่า สถานการณ์ที่คนมีรายได้น้อยลง ทำให้การขยายตัวของหนี้ต่อครัวเรือนสูงถึง 42.3% ในปี 63 ดังนั้น ในปี 68 ที่หนี้สูงถึง 22% มี 2 นัย คือ เศรษฐกิจน่าจะไม่ค่อยดี และมีผลกระทบต่อรายได้" นายธนวรรธน์ กล่าว
*กู้นอกระบบพุ่ง-สัญญาณ NPL ส่อเค้าสูงขึ้น

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า จากการสอบถามกลุ่มตัวอย่าง พบว่า หนี้ครัวเรือนที่เป็นหนี้นอกระบบเศรษฐกิจมีสัดส่วนมากขึ้น สะท้อนว่าการปล่อยสินเชื่อในระบบเริ่มตึงตัว อัตราการขยายตัวของสินเชื่อยังติดลบต่อเนื่อง และติดลบมาอย่างน้อยแล้ว 3-4 ไตรมาส ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในระบบเต็มแล้วคนจึงต้องไปกู้นอกระบบ จึงเป็นนัยสำคัญว่า เศรษฐกิจเริ่มมีอุปสรรคที่ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ สินเชื่อขยายตัวติดลบทั้งแผง

"หนี้มีการขยายตัวติดลบมาตลอด และในไตรมาส 2/68 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ยังรายงานการขยายตัวติดลบของหนี้ ดังนั้น ชัดเจนว่าการปล่อยสินเชื่อชะลอลง และสัญญาณ NPL น่าจะสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจมีอุปสรรคที่กำลังซื้อของประชาชนไม่มี รายได้ของภาคธุรกิจชะลอลง ดังนั้น ปัญหาเลยวนไปมา" นายธนวรรธน์ กล่าว

ทั้งนี้ จากการสำรวจยังพบว่า สาเหตุของการเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน อันดับ 1 คือมีเหตุต้องใช้เงินฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด (12.3%) รองลงมาคือมีภาระการเงินในครอบครัว (10.7%) รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย (9.8%) และค่าครองชีพที่สูงขึ้น (9.5%) ตามลำดับ ซึ่งส่วนนี้เป็นเรื่องที่เศรษฐกิจมีอุปสรรค ขณะเดียวกัน พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ทำให้เกิดการมีหนี้ เช่น มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น (9.4%) และการที่มูลเหตุจูงใจในการซื้อของ สินค้าเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีมากขึ้น อย่างไรก็ดี อีกส่วนหนึ่งก็มีการซื้อสินค้าถาวรเพิ่มขึ้น (8.0%) และลงทุนในการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น (7.7%)

ดังนั้น หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นส่วนใหญ่มาจากเศรษฐกิจ และอีกส่วนมาจากพฤติกรรมการใช้จ่ายที่มีอุปสรรค เช่น การมีหนี้ที่เกิดจากการพนัน การผ่อนสินค้ามากเกินไป หรือการใช้บัตรเครดิตมากเกินไป

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ขณะนี้ NPL มี 2 ส่วน คือ Stage 2 มีสัดส่วนสูงที่ 6% และหนี้ NPL ที่จะต้องเริ่มตั้งสำรอง หรือ Stage 3 สูง 4% ดังนั้น ทำให้คนเริ่มมีปัญหาไม่สามารถผ่อนชำระได้ จากการสอบถามเรื่องปัญหาในการผ่อนชำระหนี้ กลุ่มตัวอย่าง 74.4% ตอบว่าเคย โดยให้เหตุผลหลัก ๆ ว่า เนื่องจากรายได้ลดลง และเศรษฐกิจไม่ดี ดังนั้น สถานการณ์เศรษฐกิจจึงเป็นตัวบ่งชี้ของสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่แย่ลง

ขณะที่ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ คือค่าครองชีพไม่สอดคล้องกับรายได้ รองลงมาคือราคาพืชผลทางการเกษตรต่ำ และสภาพคล่องของธุรกิจ/ครัวเรือน กลุ่มตัวอย่างยังมองว่า สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนคือรายรับไม่พอกับรายจ่าย สภาพเศรษฐกิจถดถอย

ดังนั้น ปัญหาสำคัญมาจากเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลเองตั้งใจและดำเนินการแก้ไข คือจะต้องเพิ่ม GDP ให้เกิดขึ้นอย่างทันท่วงทีและรวดเร็ว โดยม.หอการค้าไทย สนับสนุนนโยบายคนละครึ่ง เพราะเชื่อว่าการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะถูกกระตุ้นอย่างคึกคักขึ้นหลังจากที่มีโครงการคนละครึ่ง ซึ่งต้องรอดูการแถลงนโยบายต่อสภาฯ ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งนี้ หากมีการใช้งบประมาณสำหรับโครงการคนละครึ่งในวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทขึ้นไป มองว่า ก็น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ปีนี้ขยายตัวได้เกิน 2%

"ปัญหาหนี้ครัวเรือนต่อ GDP เห็นเทรนด์ที่น่าจะปรับตัวลดลง ทั้งนี้ ถ้าหลังจากมีการเลือกตั้งในปีหน้า และทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3-4% ได้ในระยะปานกลาง มองว่าหนี้ครัวเรือนน่าจะลดลงต่ำกว่า 80% ภายใน 3 ปี ปัญหาหนี้ครัวเรือนถูกหยิบยกมาในรัฐบาลทุกสมัย และก็ถูกหยิบยกล่าสุดในการปรับแนวโน้มของเครดิตเรตติ้ง ดังนั้น ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ ซึ่งต้องแก้ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่ม GDP และในปีนี้ปัญหาที่รัฐบาลต้องดู คือราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำลง โดยเฉพาะราคาข้าว จะต้องหาตลาดในการระบายสินค้าให้แก่เกษตรกร นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำในระยะสั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนต่อ รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อ เพื่อให้สินเชื่อสามารถขยายตัวได้ ให้ SME สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ เป็นสิ่งที่ควรทำ และถ้าทำได้ควรทำให้อัตราการขยายตัวของสินเชื่อกลับมาขยายตัวได้ภายในไตรมาส 4/68 ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องของประชาชนและธุรกิจดีขึ้น การจ้างงานยังคงเส้นคงวา และประชาชนมีรายได้" นายธนวรรธน์ กล่าว

ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า (2 ต.ค. 68) หลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภาฯ ม.หอการค้าไทย จะมีการแถลงปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ