ฮั่วเซ่งเฮง ชี้ทองพุ่งแรง คาดเป้าหมายปีนี้ $3,780-3,930 เตือนระวังแรงขายระยะสั้น

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 26, 2025 11:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ฮั่วเซ่งเฮง ชี้ทองพุ่งแรง คาดเป้าหมายปีนี้ $3,780-3,930 เตือนระวังแรงขายระยะสั้น

บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด คาดการณ์เป้าหมายราคาทองคำปีนี้ที่ 3,780 ดอลลาร์ และอาจสูงถึง 3,930 ดอลลาร์ ซึ่งในระยะสั้นให้ระวังแรงเทขายทางเทคนิคจากการเกิดภาวะ Overbought ใน RSI ซึ่งมีโอกาสเห็นการปรับฐานต่อราว 5-7% กลับไปยังโซน 3,500-3,550 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวรับที่สำคัญ หากราคามีการปรับลงจริง ยังคงมองเป็นโอกาสในการซื้อสะสมเข้าพอร์ตการลงทุน

โดยภาพรวมระยะกลางถึงยาว ทองคำยังได้แรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง ทั้งการถือครองของธนาคารกลาง ความอ่อนค่าของดอลลาร์ และภาวะดอกเบี้ยขาลง ทำให้การปรับฐานรอบนี้มีโอกาสเป็นเพียงการพักฐานเพื่อสะสม มากกว่าที่จะเป็นการสิ้นสุดรอบของขาขึ้น

นอกจากนี้ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน เนื่องจากเสถียรภาพของทองคำไม่ได้ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง มีปริมาณจำกัดตามธรรมชาติ และสามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ค่าเงินอ่อนตัว หรือวิกฤตการณ์ทางการเงินได้

ดังนั้น นักลงทุนมืออาชีพจึงมักแนะนำให้จัดสรรทองคำ 5-15% ของพอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและการป้องกันความเสี่ยง

สถานการณ์ในปีนี้ทองคำไม่เพียงขึ้นแรงแต่ยังสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผลตอบแทนราว 43% สูงสุดในรอบ 46 ปี ไปจนถึงแรงซื้อของธนาคารกลางที่แตะระดับพันตันต่อปี และเงินที่ไหลกลับสู่กองทุน ETF ซึ่งถือครองรวมสูงสุดนับจากปี 2020 ขณะที่ปัจจัยนโยบายการค้าสหรัฐฯ สัญญาณกดดันต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ช่วยเร่งให้ทองคำกลับมาเป็นแกนสำคัญของพอร์ตลงทุนทั่วโลก

หลังการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในสหรัฐฯ ราคาทองคำไต่สู่จุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง กระแสเงินทุนหันหาความปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีทองคำสร้างผลตอบแทนราว 43% สูงสุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษ และตอกย้ำภาพสินทรัพย์สร้างสถิติ ประจำปี

โครงสร้างดีมานด์หนุนราคาชัดเจนจากฝั่งธนาคารกลาง จากข้อมูลของ Metals Focus พบว่า ตั้งแต่ปี 2565 ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสุทธิปีละมากกว่า 1,000 ตัน และคาดว่าปีนี้จะซื้อทองเพิ่มเติมอีกประมาณ 900 ตัน เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยรายปีที่ 457 ตัน ในช่วงปี 2559-2564 ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งพยายามลดความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์ (De-Dollarization) หลังจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก ทำให้รัสเซียสูญเสียเงินทุนสำรองต่างประเทศเกือบครึ่งหนึ่งในปี 2565

และจากข้อมูลที่รายงานต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พบว่า ในปี 2567 มีเพียง 34% ของความต้องการทองคำของธนาคารกลางทั้งหมดที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ขณะที่ World Gold Council (WGC) ระบุว่า ธนาคารกลางมีส่วนสนับสนุนประมาณ 23% ของความต้องการทองคำรวมต่อปีในช่วง 2565-2568 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในทศวรรษ 2553 เกือบสองเท่า

ด้านนักลงทุนสถาบันก็พุ่งความสนใจไปที่ทองคำเช่นกัน สะท้อนจากการที่มีเงินไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำ ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. รวม 420 ตัน ผลักดันให้การถือครองรวมของ ETF สู่ 3,639 ตัน ณ สิ้นเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน ส.ค.63 และเข้าใกล้สถิติเดิมที่ราว 3,915 ตัน ในช่วง 5 ปีก่อน

อีกทั้งยังมีสัญญาณเด่นจาก SPDR Gold Trust ที่กลับมาถือครองเกิน 1,000 ตัน เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และซื้อสุทธิในปีนี้กว่า 127.18 ตัน (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ก.ย.68) โดยภาพรวมทำให้ตลาดมีทั้งเสาหลักจากผู้เล่นภาครัฐ และฐานกว้างจากเงินกองทุนที่ทำให้สภาพคล่องหนาแน่นยิ่งขึ้น

ความแข็งแรงของสถิติเหล่านี้สะท้อนสู่ฉากทัศน์แนวโน้มราคาที่ไต่ระดับขึ้น สอดคล้องกันกับมุมมองของสถาบันการเงินรายใหญ่ที่ทยอยปรับเป้าหมายราคาทองคำขึ้น ดังนี้

- Citibank คาดการณ์ราคาทองแตะ 3,800 ดอลลาร์ ภายใน 3 เดือน และอาจพุ่งถึง 4,000 ดอลลาร์

- Deutsche Bank ประเมินว่าราคาทองคำจะแตะ 4,000 ดอลลาร์ ในปี 2569

- UBS คาดการณ์ว่าราคาจะขึ้นไปที่ 3,900 ดอลลาร์ กลางปี 2569

- Bank of America (BofA) ประเมินว่า ราคาเฉลี่ยรายไตรมาสจะอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์ ในไตรมาส 2 ปี 2569

- J.P. Morgan คาดราคาทองพุ่งถึง 4,000 ดอลลาร์ ในไตรมาส 2 ปี 2569

- Goldman Sachs ปรับเป้าเชิงรุกสูงสุด คาดปี 2568 อาจแตะ 4,000 ดอลลาร์ ในกลางปี 2569 และมีโอกาสพุ่งถึง 5,000 ดอลลาร์ หากเงินลงทุนเพียง 1% ของตลาดพันธบัตรโลกไหลเข้าสู่ทองคำ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ