
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และทูตพาณิชย์ประจำสถานทูตไทยในต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ในระยะสั้น และระยะยาว โดยได้มอบ 7 นโยบายสำคัญ ภายใต้แนวทาง "Quick Big Win" ที่มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อมสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยย้ำว่า "การทำงานของกระทรวงต้องยึดหลัก "ร่วมมือ-โปร่งใส-ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด"
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ไปแล้วเมื่อวันที่ 29-30 ก.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางการทำงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี 7 เรื่องหลัก ที่จะเร่งดำเนินการ ดังนี้

1. ภาษีสหรัฐฯ และการเจรจาการค้า
เร่งสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ ภายในเดือนธ.ค.68 โดยปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ให้เป็นระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์ และเพิ่มความโปร่งใส โดยปัจจุบันได้ผลชัดเจน เช่น จากที่เคยพบเอกสาร C/O ปลอมแปลงหลักร้อยกรณีต่อปี เหลือเพียง 5 กรณีในปี 2567 และไม่พบในปี 2568
นอกจากนี้ จะเร่งปรับปรุงกระบวนการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) จากที่เคยใช้เวลา 12-18 เดือน ให้เหลือเพียง 9 เดือน ด้วยการนำ AI มาช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล ถือเป็น Quick Win ที่ช่วยผู้ประกอบการไทยโดยตรง

2. การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา
ช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบ ทั้งการจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ การสนับสนุนค่าขนส่งสินค้าฟรี 100 บาท/ชิ้น ร่วมกับไปรษณีย์ไทย เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อย การเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ทดแทน และการเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดประสานงานใกล้ชิดกับประชาชน
3. FTA และบุกตลาดใหม่
ไทยมีข้อตกลงการเปิดเสรีการค้า (FTA) 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ ได้แก่ FTA ไทย-เอฟตา ให้มีผลบังคับใช้ภายในครึ่งแรกปี 2569, FTA ไทย-อียู ให้ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาสแรกปี 2569, FTA ไทย-เกาหลีใต้ ให้เสร็จสิ้นภายในปี 2568 ขณะเดียวกัน จะใช้เครือข่ายทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่งทั่วโลก หาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์), แอฟริกาใต้ เอเชียใต้ (อินเดีย) และอาเซียน (เวียดนาม) โดยเน้นการจับคู่ผู้ซื้อ-ผู้ขาย และจัดกิจกรรมเจรจาการค้ารูปแบบใหม่
4. ดูแลค่าครองชีพประชาชน
เดินหน้าจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาท/ปี พร้อมร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่งที่ลงนาม MOU กับกระทรวงพาณิชย์ ให้เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล คาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกว่า 32,400 ล้านบาท/ปี และทำให้โรงพยาบาลรัฐลดความแออัดลง โรงพยาบาลเอกชนก็จะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น
5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร
โดยเฉพาะ ข้าว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีผลผลิตกว่า 21.8 ล้านตัน และมีสต็อกคงเหลือกว่า 3.5 ล้านตัน กระทรวงพาณิชย์จะใช้มาตรการชะลอการขายด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การให้สหกรณ์เก็บสต็อก การช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน และเร่งการส่งออกทั้งแบบ G to G (รัฐต่อรัฐ) กับจีน เพิ่มจาก 280,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน และการเจรจา MOU กับญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตาข้าวไทย
นอกจากนี้ ยังเตรียมผลักดันการปรับตัวของเกษตรกรสู่การปลูกพืชคุณภาพสูง (เช่น GI และพืชที่ตลาดต้องการ) เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันโลก และสภาพภูมิอากาศ
6. เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย
สนับสนุนการเข้าถึงตลาดใหม่ (เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา) พัฒนาศักยภาพด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนสินเชื่อ การใช้เครื่องหมายรับรองคุณภาพ เช่น Thailand Trust Mark และ Thai SELECT รวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์ม "MOC+" เพื่ออำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาให้ SMEs เข้าถึงการสนับสนุนของภาครัฐได้ง่ายขึ้น
7. ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี
เร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ รวมถึงการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์อุปสงค์-อุปทานของสินค้า เพื่อให้มาตรการทางการค้าทันต่อสถานการณ์ และขยายช่องทาง e-Commerce สำหรับสินค้าท้องถิ่นเข้าสู่ตลาดสากล