
จับตาประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน วันที่ 8 ต.ค.นี้ ประเดิมบททดสอบแรก ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ "วัทัย รัตนากร" วัดใจลดดอกเบี้ยรับเศรษฐกิจไทยชะลอ หรือคงดอกเบี้ยเผื่อ policy space ไว้ใช้ยามจำเป็น ขณะที่เสียงจากแวดวงการเงิน-ธนาคาร ส่วนใหญ่เชื่อ กนง.รอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจให้ถี่ถ้วน ไม่จำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ยรอบนี้ ลุ้นโอกาสลดดอกเบี้ยช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีรอบ ธ.ค.ก็ไม่สาย
น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบวันที่ 8 ต.ค.นี้ คาดว่า กนง.จะมีมติปรับ "ลด" อัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาสู่ระดับ 1.25% จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.50% ต่อปี
เหตุผลที่ทำให้เชื่อว่า กนง.จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากบทบาทของภาคส่งออก ในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย มีสัญญาณแผ่วลงชัดเจนจากมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ โดยล่าสุด มูลค่าการส่งออกเดือนส.ค.68 ขยายตัวได้ 5.8% ชะลอตัวลงจากที่เคยขยายตัวได้ในระดับ 2 หลัก (digit) ต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่ต้นปี 68
นอกจากนี้ ภาคการผลิตยังซบเซา ภาคการท่องเที่ยวอ่อนแรงลง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งที่ประชุม กนง.มีโอกาสจะปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของปีนี้ลง จากรอบล่าสุดที่ประเมินว่าเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ อยู่ที่ 0.5% อีกทั้งมาตรการทางการคลังชุดใหม่ เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศยังไม่มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ การส่งผ่านการลดดอกเบี้ยสู่ภาคเศรษฐกิจจริงต้องใช้เวลา
น.ส.รุ่ง ยังมองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบัน ยังอยู่ในระดับค่อนข้างตึงตัว เมื่อเทียบกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ขณะที่สินเชื่อหดตัวตามความเสี่ยงด้านเครดิต โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง รวมถึงศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป ซึ่งยังไม่เห็นแนวทางการปฏิรูปที่ยังยืน
ทั้งนี้ คาดว่า ณ สิ้นปี 68 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย จะอยู่ที่ระดับ 1.25%
"เรามองว่าหากลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ (8 ต.ค.) กนง. อาจรอดูผลของนโยบายการเงินการคลัง และน่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ใน รอบประชุม กนง. เดือน ธ.ค.68 ก่อนจะปรับลดอีกครั้ง ในไตรมาส 1/69 และจบรอบที่ 1.00%" น.ส.รุ่ง ระบุนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย มองว่า การประชุม กนง.รอบนี้ อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ให้ "คง" ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% เนื่องจากมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยตั้งแต่การประชุม กนง.เมื่อเดือนส.ค.68 จนถึงล่าสุดเดือน ต.ค.68 ยังไม่ได้มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชน เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 จากอานิสงส์ของมาตรการคนละครึ่งพลัส ซึ่งทาง ธปท. เองก็ได้ประเมินว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว อาจมีผลต่อ GDP ราว 0.2% และอาจมีผลทางอ้อมต่อความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภค และภาคธุรกิจ นอกเหนือจากความหวังต่อทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล
ดังนั้น เชื่อว่ากรรมการ กนง.ส่วนใหญ่ อาจจะต้องการเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยให้ชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ ก่อนจะตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจต้องรอติดตามผลกระทบจากทั้งนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ จากภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ รวมถึงรอติดตามข้อมูลอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 อย่างเป็นทางการ (รายงานโดยสภาพัฒน์) เสียก่อน
"แม้ว่า ผู้ว่าฯ ธปท.ท่านใหม่ (นายวิทัย รัตนากร) และกรรมการ กนง.ท่านใหม่ (นายเชาว์ เก่งชน) อาจมีมุมมองสนับสนุนนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยนับตั้งแต่การประชุมเดือนส.ค. จนถึงช่วงเดือนต.ค. ยังไม่ได้มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น กนง.ส่วนใหญ่ อาจต้องการเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นก่อน" นายพูน กล่าวนอกจากนี้ ที่สำคัญคือในการประชุม กนง.เดือนส.ค.68 ได้มีการเน้นย้ำถึงการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลาง และขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีอย่างจำกัด จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เรามองว่า การเลือกที่จะ "คงดอกเบี้ย" ไปก่อน อาจเป็นทางเลือกที่มีความน่าสนใจกว่าในขณะนี้
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา จนมีเสียงเรียกร้องให้ ธปท.เข้ามาดูแล และมองว่า อาจนำไปสู่การลดดอกเบี้ย หรือเร่งลดดอกเบี้ยนั้น นายพูน ให้ความเห็นว่า การลดดอกเบี้ย หรือเร่งลดดอกเบี้ย เพื่อให้เงินบาทอ่อนค่านั้น อาจไม่ใช่เหตุผลและปัจจัยสำคัญที่ กนง.จะนำมาใช้พิจารณา เนื่องจากข้อมูลในอดีตสะท้อนให้เห็นว่า เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงชัดเจน แม้ กนง.จะมีการเร่งลดดอกเบี้ย (ในช่วงวิกฤต GFC 2008) หรือจะเป็นในกรณีที่ กนง.ลดดอกเบี้ย สวนทางกับคาดการณ์ของตลาด เงินบาทก็ไม่ได้อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ จนกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของธีมเงินดอลลาร์ หรือเศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอก (เกิดวิกฤตการเงิน/วิกฤตเศรษฐกิจในประเทศเศรษฐกิจหลัก) หรือปัจจัยภายใน เช่น วิกฤตทางการเมือง
นายพูน มองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านต่ำอยู่ อีกทั้งเพื่อเป็นการบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบาง และภาคธุรกิจ SMEs นโยบายการเงินของไทย ก็ควรอยู่ในระดับผ่อนคลายมากขึ้น โดยเรามองว่า กนง. อาจกลับมาลดดอกเบี้ยอีกครั้ง ในการประชุมเดือนธ.ค.สู่ระดับ 1.25% และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.00% ในต้นปีหน้าจบรอบการลดดอกเบี้ย แต่ไม่ปิดโอกาสที่ กนง. อาจต้องลดดอกเบี้ยต่ำกว่าคาด พร้อมใช้นโยบายการเงินแบบ Unconventional เช่น การทำ QE หากเศรษฐกิจไทยเผชิญมรสุมที่รุนแรงกว่าคาด เช่น เกิดวิกฤตทางการเมือง หลังการเลือกตั้งในปี 69
"ไม่ว่า กนง. จะลด หรือไม่ลดดอกเบี้ย ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ หลังผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังว่า กนง. จะทยอยลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.00% ได้ภายในปี 69 แต่หาก กนง. ตัดสินใจลดดอกเบี้ยจริงตามที่ตลาดมอง และส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ก็อาจทำให้ตลาดเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า กนง.อาจลดดอกเบี้ยได้ต่ำกว่าระดับ 1.00% ซึ่งภาพดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อบอนด์ยีลด์ของไทยมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อได้ และทำให้นักลงทุนต่างชาติ อาจทยอยกลับเข้าซื้อบอนด์ไทยอีกครั้ง" นายพูน ระบุนายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) คาดว่า ในการประชุม กนง.สัปดาห์นี้ มีโอกาสที่จะ "คง" อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมที่ 1.50% เนื่องจากในรายงานเศรษฐกิจไทยรอบล่าสุดของ ธปท. พบว่าตัวเลขเศรษฐกิจยังออกมาไม่ดีเท่าที่ควร เช่น การบริโภคในประเทศ รายได้ภาคเกษตร
ประกอบกับแรงกดดันเรื่องของเงินบาทแข็งค่า ก็ลดน้อยลงไปแล้ว ต่างจากในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก ดังนั้น หากให้ประเมินจากข้อมูลเศรษฐกิจไทยล่าสุด เชื่อว่ายังไม่มีความจำเป็นที่ กนง.จะต้องเร่งลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ โดยอาจจะรอขอรอดูผลจากการลดดอกเบี้ยในรอบที่ผ่านมา (ส.ค.68) เพราะปัจจุบัน แรงกดดันเรื่องบาทแข็งค่าได้ลดน้อยลงไปแล้ว
อีกทั้งแรงกดดันจาก capital flow ในช่วงนี้ก็ไม่ได้เข้ามาชัดเจน จากก่อนหน้านี้ที่บางวันเข้ามาในตลาดพันธบัตรมาก แต่ตอนนี้ก็เข้ามาน้อยลง จึงทำให้แรงกดดันน้อยลงด้วย กนง. อาจจะต้องการดูผลจากการลดดอกเบี้ยจากรอบที่ผ่านมานี้ก่อน
"เชื่อว่า กนง. จะรอประเมินสถานการณ์ ถ้าพัฒนาการเศรษฐกิจดีขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย จะได้เก็บกระสุนไว้ก่อน เผื่อว่าเวลาเศรษฐกิจไทยเจอช็อคเข้ามาใหม่ จะได้เหลือ policy space ในการผ่อนคลายนโยบายการเงินได้...เรามองว่า กนง. ยังไม่ลดรอบนี้ แต่อาจจะไปลดรอบธ.ค.68" นายวชิรวัฒน์ กล่าวโดยประเมินว่า ณ สิ้นปี 68 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ที่ระดับ 1.25% เพราะเชื่อว่าการประชุม กนง. เดือนธ.ค. ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ จะมีมติลดดอกเบี้ยลง 0.25% และไตรมาสแรกของปีหน้า ก็มีโอกาสลดต่อได้อีก 0.25% มาเหลือที่ระดับ 1.00%
นายวชิรวัฒน์ มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันยังสูงไป เมื่อเทียบกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ซึ่งสุดท้ายแล้วดอกเบี้ยยังมีโอกาสลดลงได้อีก เพราะเมื่อมองไปข้างหน้า แรงฉุดต่อเศรษฐกิจไทยยังมีมากขึ้น แนวโน้มการส่งออกในไตรมาส 4 ปีนี้ ที่คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างแน่นอน จากผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ (Reciprocal tariffs) และปี 2569 มีโอกาสที่จะเห็นการส่งออกไทยติดลบได้ เนื่องจากสถานการณ์การค้าโลกที่ชะลอตัว เช่นเดียวกับอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวด้วยเช่นกัน
สำหรับการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีโอกาสที่ ธปท.จะปรับลดประมาณการ GDP ลงจากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 2.3% เนื่องจากล่าสุดไทยกลับมาขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จากผลของการส่งออกที่ชะลอตัวลง และการนำเข้าเพิ่มขึ้นมาก จนทำให้ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งการบริโภคในประเทศ และรายได้ภาคเกษตรที่ยังออกมาไม่ค่อยดีนัก
ในขณะที่ปีนี้ SCB ยังคงมุมมอง GDP ไว้เท่าเดิมที่ 1.8% ซึ่งการที่รัฐบาลเตรียมออกโครงการ "คนละครึ่งพลัส" เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย และการบริโภคภายในประเทศช่วงปลายปีนี้นั้น อาจจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยปีนี้ได้ไม่มากนัก และการใช้งบประมาณในโครงการดังกล่าวเป็นอาจสร้าง Multiplier ต่อระบบเศรษฐกิจได้ไม่มากเท่ากับโครงการในลักษณะของการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น การสร้างถนน ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มเติมและเกิด Multiplier ต่อระบบเศรษฐกิจได้มากกว่า
ทั้งนี้ ล่าสุด ธปท.ได้ประเมินว่า โครงการคนละครึ่งพลัส ของรัฐบาลที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงไตรมาส 4 นี้ คาดว่าจะช่วยผลักดัน GDP ของไทยปีนี้ให้เพิ่มขึ้นจากเดิมได้เพียง 0.2%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 8 ต.ค.68 ซึ่งถือเป็นการประชุมครั้งแรก ภายใต้การกำกับของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ "นายวิทัย รัตนากร" พร้อมด้วยกรรมการใหม่อีก 2 ท่านนั้น คาดว่าที่ประชุม กนง.จะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ "คง" อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% หลังจากได้ปรับลดลง 0.25% ในการประชุมรอบก่อนหน้าไปเมื่อเดือน ส.ค.68
แม้กรรมการบางส่วน อาจสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง แต่กรรมการส่วนใหญ่ อาจยังเห็นชอบให้คงดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอดูผลจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงก่อนหน้า และเก็บกระสุนนโยบายการเงินไว้ใช้ในจังหวะเหมาะสม หลังจากที่กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมาแล้วรวม 0.75% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ และธนาคารพาณิชย์ได้ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตาม ซึ่งช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และบรรเทาภาระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนในระดับหนึ่ง ภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่เหลือน้อยลง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มีโอกาสที่ กนง. จะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. 68 เพื่อสอดประสานกับนโยบายทางการคลังในการประคองเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4/2568 ที่คาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากการส่งออกที่ชะลอตัว ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงลง และผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ การท่องเที่ยวที่คาดว่าจะอ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ท่ามกลางแนวโน้มเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำใกล้ศูนย์
ขณะที่ เมื่อมองไปข้างหน้า คาดว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป มีทิศทางผ่อนคลายมากขึ้น