
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ระดับ 1.50% ต่อปี โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมา อยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจ
โดยกรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลา และประสิทธิผลของนโยบายการเงิน ภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน(policy space) ที่มีจำกัด จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ทั้งนี้ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.25%
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้ โดยภาคส่งออกเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ขณะที่การท่องเที่ยว และอุปสงค์ในประเทศ มีแนวโน้มชะลอลงก่อนจะทยอยฟื้นตัวในระยะข้างหน้า
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากราคาในหมวดพลังงาน และอาหารสดเป็นสำคัญ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับลดลงของราคาสินค้าเป็นวงกว้าง ด้านสินเชื่อรวมยังหดตัว และคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางยังด้อยลง
คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงิน ควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาอยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจ โดยกรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน(policy space) ที่มีจำกัด จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้
ขณะที่กรรมการ 2 ท่าน เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาด้านสภาพคล่องและภาระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง
- กนง.ปรับลด GDP ปี 68-69 ลงจากเดิมเล็กน้อย
คณะกรรมการฯ คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ 2.2% และปี 2569 ขยายตัวได้ 1.6% (จากเดิมคาดปี 68 ขยายตัว 2.3% และปี 69 ขยายตัว 1.7%) โดยเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ขยายตัวดีตามที่ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และปี 2569 มีแนวโน้มชะลอลง จากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นตัว อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ในระดับหนึ่ง โดยได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
"คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามผลกระทบที่ชัดเจนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ความต่อเนื่องของการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และการปรับตัวของธุรกิจ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขัน การเข้าถึงสินเชื่อ และต้นทุนทางการเงิน" นายสักกะภพ ระบุ- หั่นเงินเฟ้อปีนี้เหลือ 0% คาดต้นปี 70 กลับเข้ากรอบเป้าหมาย
คณะกรรมการฯ ยังประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ 0.0% และปี 2569 อยู่ที่ 0.5% (จากเดิมคาดเงินเฟ้อปี 68 อยู่ที่ 0.5% และปี 69 อยู่ที่ 0.8%) แต่คาดว่าจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1% ในช่วงต้นปี 2570 โดยเงินเฟ้อที่ปรับลดลงเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันดิบโลก และมาตรการลดราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ รวมถึงราคาอาหารสดที่ปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทั้งนี้ ความเสี่ยงด้านเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนจากราคาสินค้าและบริการส่วนมากที่ยังปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 และ 2569 อยู่ที่ 0.9% ทั้ง 2 ปี และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (headline inflation expectations) ในระยะปานกลางของภาคเอกชน ยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมาย คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการของราคาสินค้าและบริการเพื่อประเมินความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดในระยะต่อไป
ด้านอัตราดอกเบี้ยในระบบสถาบันการเงิน และตลาดการเงิน ปรับลดลงสอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา แต่สินเชื่อยังหดตัวจากความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลง ตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ การชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ และความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง โดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ
- ติดตามภาวะสินเชื่อ-ค่าเงิน ที่จะมีนัยต่อกิจกรรมเศรษฐกิจ
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นในบางจังหวะ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกบางกลุ่ม คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อ และค่าเงินบาท ซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนให้มีมาตรการทางการเงินเฉพาะจุดเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง
"ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงิน ที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงิน ควรอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยจะติดตามพัฒนาการและความเสี่ยงเศรษฐกิจการเงิน และพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ที่เปลี่ยนแปลงไป" เลขานุการ กนง.ระบุ