
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC INDEX) เดือนก.ย. 68 อยู่ที่ระดับ 44.0 ลดลงจากเดือนส.ค. ซึ่งดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 44.2 โดยดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจ มองว่า ในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดนัก แต่ในอนาคตมองว่าเริ่มจะดีขึ้น จากการที่รัฐบาลเตรียมมาตรการต่าง ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่ง พลัส ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจยังรอดูนโยบายในระยะข้างหน้าของรัฐบาลที่จะส่งผลต่อการลงทุน หรือการประกอบธุรกิจด้วยว่าจะส่งผลดีอย่างไร
"ภาคธุรกิจ เริ่มเห็นทิศทางและแนวโน้มในอนาคต จากการมีมาตรการต่าง ๆ ออกมา ซึ่งตอบรับว่ามีสัญญาณที่ดีขึ้นในอนาคต...ต้องดูว่านโยบายที่ส่งผลต่อการลงทุน และธุรกิจ เป็นอย่างไร หลังจากได้แถลงนโยบายครบถ้วนแล้ว" นายวชิร กล่าวสำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในแต่ละภูมิภาค เป็นดังนี้
- กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 44.9 ลดลงจากเดือนส.ค. ซึ่งอยู่ที่ 45.1
- ภาคกลาง อยู่ที่ 44.1 ลดลงจากเดือนส.ค. ซึ่งอยู่ที่ 44.3
- ภาคตะวันออก อยู่ที่ 48.3 ลดลงจากเดือนส.ค. ซึ่งอยู่ที่ 48.4
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 42.3 ลดลงจากเดือนส.ค. ซึ่งอยู่ที่ 42.7
- ภาคเหนือ อยู่ที่ 44.8 ลดลงจากเดือนส.ค. ซึ่งอยู่ที่ 45.1
- ภาคใต้ อยู่ที่ 43.6 ลดลงจากเดือนส.ค. ซึ่งอยู่ที่ 43.7
* ปัจจัยลบ ได้แก่
- สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงเฝ้าระวังการเกิดเหตุรุนแรงจากฝั่งตรงข้ามบริเวณตามแนวเขตชายแดน ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัว และการเตรียมตัวอพยพของประชาชน รวมถึงการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ที่ต้องหยุดชะงักบริเวณพื้นที่ชายแดน
- ความกังวลต่อแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบของนโยบาย Trump 2.0
- เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจที่อาจจะไม่เติบโต ซึ่งรายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
- ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคกลาง ที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
- ราคาข้าวเปลือกเจ้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และยางพารา อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก มีผลต่อกำลังซื้อในบางพื้นที่ต่างจังหวัดในระยะนี้
- ปัญหาเรื่องต้นทุนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะเรื่องของค่าแรงขั้นต่ำ
- สถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส (Hamas) ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น
- ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับ 32.454 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน ส.ค. 68 เป็น 32.006 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน ก.ย. 68 สะท้อนว่ามีการไหลเข้าสุทธิของเงินตราต่างประเทศ ทำให้มีความกังวลว่าจะส่งผลกระทบในเชิงลบ ต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก
* ปัจจัยบวก ได้แก่
- สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเริ่มมีความชัดเจนขึ้น หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 68 พร้อมทั้งได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะหนุนความเชื่อมั่น บรรยากาศการลงทุน และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
- คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบขยายเวลาคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ที่ 7% ต่ออีก 1 ปี โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 68-30 ก.ย. 69 เพื่อส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
- SET Index เดือน ก.ย. 68 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 37.56 จุด จาก 1,236.61 ณ สิ้นเดือน ส.ค. 68 เป็น 1,274.17 ณ สิ้นเดือน ก.ย. 68
- การส่งออกของไทยเดือน ส.ค. 68 ขยายตัว 5.79% มูลค่าอยู่ที่ 27,743.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 15.83% มีมูลค่าอยู่ที่ 29,707.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ขาดดุลการค้า อยู่ที่ 1,964.36 ล้านดอลลาร์
- ผลการเจรจาทางการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ได้อัตราภาษีนำเข้าลดลงมาเหลือ 19% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 68 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการลดลงจากภาษีนำเข้าก่อนหน้าที่สูงถึง 36% การเจรจาครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทย ในตลาดสหรัฐฯ ให้อยู่ในระดับที่เทียบเท่ากับประเทศในภูมิภาคอาเซียนและคู่แข่งอื่น ๆ
- ราคาน้ำมันขายปลีกดีเซลคอลออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล์ออกเทน 95 ในประเทศปรับตัวลดลง ประมาณ 0.30 บาทต่อลิตร จากเดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 32.28 และ 32.65 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีก อัตราทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา โดยที่ระดับ 31.94 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือน ก.ย. 68
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว โครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" ประจำปี 68 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชน ผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบธุรกิจ โรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เริ่มมีสิทธิ์ใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.-31 ต.ค. 68
* แนวทางการดำเนินการในการแก้ไขปัญหา
1. มาตรการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทย
2. มาตรการป้องกันและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ
3. แนวทางแก้ไขความขัดแย้งบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัว
4. มาตรการป้องกันและรับมือต่อสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา รวมทั้งการบริหารจัดการการค้าชายแดน
5. แนวทางเร่งแก้ปัญหาหนี้ในระบบและนอกระบบ โดยการปรับโครงสร้างหนี้ และขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
6. ผลักดันสัดส่วนการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐให้มากขึ้น พร้อมพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อสินค้าไทย
7. การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการส่งออกและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
8. มาตรการส่งเสริมช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อลดขั้นตอนต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นลง