นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.51 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดเมื่อ เช้าที่ระดับ 32.50/53 บาท/ดอลลาร์
โดยระหว่างวันเงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่ 32.40 - 32.53 บาท/ดอลลาร์ หลังผลประชุมคณะกรรมการนโยบาย การเงิน (กนง.) ประกาศคงดอกเบี้ย ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดดอกเบี้ยในรอบนี้ ส่งผลให้มีจังหวะที่เงินบาท แข็งค่าลงมาที่ระดับ 32.40 บาท/ดอลลาร์ ส่วนสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคเคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทางทั้งแข็งค่าและอ่อนค่า โดยวันนี้เงินเย นอ่อนค่าสุด
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคืนนี้ คือรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และยังคงต้องติดตามสถานการณ์ที่หน่วย งานของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงถูกชัตดาวน์
นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์
- ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยน อยู่ที่ระดับ 152.99 เยน/ดอลลาร์ (ระดับอ่อนค่าสุดตั้งแต่เดือนก.พ. 68) จากเมื่อเช้าที่ระดับ 152.40/50
เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1600 ดอลลาร์/ยูโร จากเมื่อเช้าที่ระดับ 1.1626/1627 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ 1,304.92 จุด ลดลง 0.32 จุด (-0.02%) มูลค่าซื้อขาย 37,346.56 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 333.00 ล้านบาท
- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ระดับ
1.50% ต่อปี โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการลดอัตรา
ดอกเบี้ยที่ผ่านมา อยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจ โดยกรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลา และประสิทธิผลของ
นโยบายการเงิน ภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน
การประชุมครั้งนี้
- เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า การที่กนง. ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 และปี
69 ลงเล็กน้อยที่ 0.1% เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ในรอบที่
แล้ว ซึ่งในภาพรวมจะพบว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดีตามคาดที่ 3% ส่วนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง จะแผ่วลงอย่างชัดเจน
โดยเริ่มเห็นการชะลอตัวลงในไตรมาส 3/68 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากภาคการผลิตเป็นสำคัญ ที่โรงงานบางแห่งหยุดผลิตชั่วคราว และการส่ง
ออกที่เริ่มชะลอตัวลงจากผลการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
- ม.หอการค้าไทย ปรับประมาณการ GDP ปี 68 เพิ่มเป็น 2.0% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1.7% หลังปรับเพิ่มเป้า
ส่งออกเป็น 6.1% การลงทุนภาคเอกชน ปรับเพิ่มเป็น 1.1% จากเดิมคาดหดตัว 1.2% และการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มเป็น
2.8% จากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคในช่วงปลายปี อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบ คือ ภาคการท่องเที่ยว
ชะลอตัวลง ขณะเดียวกัน ยังมีความไม่แน่นอนที่จากความเสี่ยงจากภาษี Transshipment และความไม่แน่นอนจากรัฐบาลเสียงข้างน้อย
- ม.หอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนก.ย. 68 อยู่ที่ 50.7 ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8
เดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 44.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่
48.5 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 59.3 ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นฯ ทุกรายการปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรก
ในรอบ 8 เดือนเช่นเดียวกัน
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Big Win) อย่างมาตรการคนละครึ่งพลัส และ
เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เบื้องต้นมีวงเงินราว 66,000 ล้านบาท (การให้เงินประชาชนที่อยู่ในฐานระบบภาษี 9 ล้านคน นอกระบบ
ภาษี 11 ล้านคน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน) ซึ่งจะใช้ได้ในช่วงวันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค. 68 น่าจะช่วยบรรเทา
ค่าครองชีพของผู้บริโภค และกระตุ้นการใช้จ่ายของธุรกิจค้าปลีกเอสเอ็มอีได้บ้าง ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งสอง อาจส่งผลให้
ยอดขายค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4/68 เพิ่มขึ้นจากเดิมราว 0.3% และภาพรวมทั้งปี 68 โต 3.1% ขยับขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.8%
- ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ผลสำรวจในเดือนก.ย.
68 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าคงอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" ที่ระดับ 153.62 โดยนักลงทุนมองว่า
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการไหลเข้าของเงินทุน และนโยบายการเงินของ
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความกังวลต่อวินัยการคลัง รองลงมาคือสถานการณ์การนำ
เข้าและส่งออก และสถานการณ์เศรษฐกิจยูโรโซน
- หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด (GCAP GOLD) เปิดเผยว่า หลังจากราคาทองคำพุ่งแรงทะลุระดับ 3,900
ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางความคาดหวังว่ากระแสเงินลงทุนจะยังคงไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย และหากมีแรงหนุนต่อเนื่องราคาทองคำก็มี
โอกาสแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นแรงหนุนจาก 1. วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง 2. เงินเฟ้อยังทรงตัวสูงกว่า
กรอบเป้าหมายของเฟด และ 3. ดอลลาร์อ่อนค่าและความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ
- ราคาทองสปอตพุ่งทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันนี้ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนเร่งเข้าซื้อ
สินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะถัดไป