EEC รอ รมว.คมนาคม เคาะแก้ปมไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน/เมืองการบิน

ข่าวเศรษฐกิจ Monday October 13, 2025 11:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เผยความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท ที่มีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นเจ้าของโครงการ และมี บจ.เอเชีย เอรา วัน (ซี.พี.) เป็นคู่สัญญานั้น หลังจากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม มีแนวคิดที่จะไม่แก้ไขสัญญา แต่จะนัดผู้เกี่ยวข้องมาหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น ขณะนี้ EEC ยังไม่ได้รับทราบว่าจะมีการนัดหารือกันอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ในส่วนกระบวนการแก้ไขสัญญาตามหลักการที่มีมานั้น หลังจากสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบร่างสัญญาและได้มีความเห็นกลับมา 18 ประเด็นแล้วนั้น เบื้องต้นทางซี.พี.มีประเด็นที่ต้องการชี้แจงให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับทราบคือ การวางหลักประกันสัญญาที่ทางอัยการสูงสุดมีข้อแนะนำตามข้อ 7.1 ว่า "รฟท.จึงควรพิจารณาทบทวนการแก้ไขสัญญาดังกล่าว โดยกำหนดให้มีหลักประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงตามมูลค่าของงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟ งานระบบรถไฟ และขบวนรถไฟ และกำหนดให้ดำรงมูลค่าของหลักประกัน ดังกล่าวไว้จนกว่าครบระยะเวลา 2 ปี นับจากวันที่ รฟท. ได้ออกหนังสือรับรองการเริ่มให้บริการเดินรถทั้งระบบ..." นั้น ได้มีการกำหนดให้ ซี.พี.วางหลักประกันครอบคลุมทั้งหมดแล้ว การแนะนำให้วางหลักประกันดังกล่าวอาจจะเป็นการวางหลักประกันซ้ำซ้อนได้ จึงได้ส่งหนังสือถึง รฟท. เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อรอส่งหนังสือดังกล่าวให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป

โดยหนังสือของ ซี.พี.ยังอยู่ที่ รฟท. แต่จากการที่นายวีริศ อัมระปาล ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ รฟท.จึงอาจจะต้องรอว่า ผู้บริหารกระทรวงแต่งตั้งรักษาการผู้ว่าฯ คนใหม่ก่อนจึงจะสามารถลงนามเพื่อส่งหนังสือดังกล่าวได้

ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกมูลค่า 290,000 ล้านบาทที่มีกองทัพเรือ (ทร.) เป็นเจ้าของโครงการ และมี บจ.อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (มี บมจ.การบินกรุงเทพ (BA), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ร่วมทุนกัน) หลังจากทางเอกชนส่งสัญญาณอาจจะขอยกเลิกสัญญาจากความล่าช้าที่ดำเนินการมากว่า 5 ปี หลังจากลงนามในสัญญาเมื่อปี 2563 นั้น แหล่งข่าวจาก EEC เปิดเผยว่า จากการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ EEC ยอมรับเงื่อนไขของเอกชนที่จะปรับแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาในเฟสแรก จากเดิมที่ 12 ล้านคน/ปี มาเริ่มต้นที่ 3 ล้านคน/ปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 และการพัฒนาขยายศัยกภาพสนามบินของ ทอท.และปัจจัยอื่น ๆ ที่มากระทบต่อปริมาณผู้โดยสาร ประกอบกับสนามบินอู่ตะเภาในปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารเพียง 4 แสนคน/ปี ขณะที่อาคารผู้โดยสารหลังใหม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2-3 ล้านคน/ปี จึงเห็นว่า เหมาะสมกับการลงทุน ซึ่งหากเปิดบริการแล้วผู้โดยสารเติบโตเร็วถึง 70% ของขีดความสามารถก็สามารถพัฒนาขยายการรองรับเพิ่มเป็น 6 ล้านคน/ปี เป็น 8 ล้าน/ต่อปีได้ และสุดท้ายจะพัฒนาไปถึง 60 ล้าน/ต่อปีตามระยะเวลาสัญญา 50 ปี แลกกับการที่เอกชนจะต้องสละสิทธิ์เงื่อนไขเริ่มโครงการโดยไม่มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน อีกทั้งโครงการทางวิ่งที่ 2 และทางขับได้เริ่มต้นก่อสร้างแล้ว ซึ่งตามสัญญาโครงการตัวอาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะต้องเริ่มงานไปพร้อมกันกับทางวิ่งด้วย จึงเห็นพ้องกันที่จะเริ่มต้นโครงการสักที

สำหรับขั้นตอนต่อไป ทาง EEC จะต้องเสนอต่อไปยังคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เพื่อรับทราบเงื่อนไขใหม่ดังกล่าวร่วมกัน จากนั้นจะเสนอไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ ซึ่งหลังจากที่ประชุมทั้งสองรับทราบก็จะต้องปรับแก้สัญญาต่อไปด้วย เพราะเดิมในสัญญาสัมปทานยังระบุการเริ่มต้นโครงการไว้ที่ 12 ล้านคน/ปี ส่วนจะเสนอได้เมื่อไหร่คงต้องรอให้ รมว.คมนาคม ในฐานะประธานบอร์ด EEC เป็นผู้พิจารณา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ