พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท.เปิดเผยว่า กพท.ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) เตรียมเสนอวาระที่ประชุมคณะกรรมการ กบร.ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน เพื่อพิจารณาอนัมัติในเรื่องสำคัญ ได้แก่
- การเสนอขอแก้ไข ข้อกำหนด กบร. เรื่องการนำเข้าอากาศยานขออนุญาตจดทะเบียนเพื่อนำมาให้บริการ จากปัจจุบันที่ประกาศโดยกำหนดอายุอากาศยาน ขอแก้ไขเป็นไม่กำหนดอายุอากาศยาน แต่จะกำหนดเป็นความสมควรเดินอากาศ ( Airworthiness of Aircraft )แทน หรือ ตรวจสภาพเครื่องบิน มีความปลอดภัยตามมาตรฐานในการให้บริการ
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและคล่องตัว เนื่องจากปัจจุบันตลาดการบินมีความต้องการเครื่องบินสูง ขณะที่ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตเครื่องบินใหม่ได้ทันกับความต้องการ อีกทั้งการกำหนดอายุอากาศยานดังกล่าวทำให้ตลาดการให้บริการทางอากาศของประเทศไทยไม่เติบโตเท่าที่ควร ไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ดังนั้นการปลดล็อกอายุเครื่องบิน จะทำให้ผู้ให้บริการสายการบิน สามารถนำเครื่องบินเช่าที่มีการตรวจสอบสภาพตามมาตรฐานมาให้บริการได้ตามความต้องการ
โดยปัจจุบัน ประเทศมีการกำหนดอายุอากาศยานที่จะนำมาจดทะเบียนให้บริการ 3 ประเภท ได้แก่
1.เฮลิคอปเตอร์ กำหนดอายุไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ผลิต หรือตามที่กฎหมายกำหนด
2.อากาศยานปีกแข็ง หรือเครื่องบินโดยสาร กำหนดอายุอากาศยานที่นำมาให้บริการต้องไม่เกิน 16 ปี นับแต่วันที่ผลิต หรือตามที่กฎหมายกำหนด
3.เครื่องบินขนส่งสินค้า กำหนดอายุไม่เกิน 22 ปี
การปลดล็อกอายุเครื่องบิน จะทำใหัตลาดการบินในประเทศไทย ที่มีความต้องการเครื่องบินสูงมาก มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะที่ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ไม่ได้กำหนดเรื่องอายุอากาศยานไว้ การกำหนดอายุ เป็นเรื่องของแต่ละประเทศที่จะกำหนด หรือไม่ ซึ่งความปลอดภัยทางการบินมีมาตรฐานสูงตั้งแต่การนำเครื่องเข้าจดทะเบียน และมีการตรวจสอบตามวงรอบการใช้งานอีก ส่วนอายุกำหนดไว้เฉยๆ แต่ในทางปฎิบัติเป็นเรื่องของการตรวจสอบมาตรฐานมากกว่า
ส่วนกรณีที่มีเครื่องบินเพิ่มแล้วจะเกิดปัญหาการขาดแคลนนักบินหรือไม่ ผอ.กพท.กล่าวว่า ปัจจุบัน สายการบินมีเครื่องบินจำกัด ประกอบกับ FAA ปรับให้ไทยขึ้น CAT-1 ทำให้นักบินไทยออกไปทำงานสายการบินตางชาติได้ ดังนั้นหากสายการบินของไทยมีเครื่องบินเพิ่มขึ้นจากการปลดล็อกอายุเครื่องบิน เชื่อว่า นักบินเหล่านี้ก็จะกลับมาทำงานให้สายการบินของประเทศไทย แต่ในอนาคตอันใกล้ จะต้องวางแผนในการผลิตนักบินรองรับเพิ่มเพื่อไม่ให้มีปัญหา เพราะหลายสายการบินสั่งซื้อเครื่องบินเพิ่ม เช่น สายการบินเวียตเจ็ท จะมีเพิ่ม 50 ลำ การบินไทยอีก 75 ลำ ความต้องการทั้งนักบินและลูกเรือเพิ่มขึ้นแน่นอน ซึ่งกพท.จะวางแผน และส่งเสริมการผลิตบุคลากร เพิ่มและมีมาตรฐาน
นอกจากนี้ จะมีการเสนอ กบร.ขอปรับอัตราค่าบริการผู้โดยสารขาออก ระหว่างประเทศ (PSC) ทั้งนี้เนื่องจากผู้ให้บริการทาอากาศยานได้มีการลงทุนปรับปรุง อุปกรณ์ และระบบเทคโนโลยี เพื่ออำนวยการในการให้บริการ กับผู้โดยสาร ให้ได้รับความสะดวกรวดเร็ว ได้แก่ Common Use Terminal Equipment: CUTE, Common Use Self Service: CUSS และ Common Use Bag Drop: CUBD ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้น และอาจเป็นอุปสรรคในการแข่งขัน ซึ่งกพท.ได้พิจารณาอัตราที่จัดเก็บ เปรียบเทียบกับประเทศอื่น แงะเพื่อให้ผู้ให้บริการสนามบินมีรายได้เพียงพอ ต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงดูเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และความสะดวกที่ผู้โดยสารจะได้รับด้วย
โดยบมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือทอท. ขอปรับค่า PSC สนามบินทั้ง 6 แห่ง ในอัตรา 5 บาทต่อคน ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ จัดเก็บจาก 730 บาทเป็น 735 บาทต่อคน และ กรมท่าอากาศยาน (ทย.) ขอขึ้น PSC ในอัตรา 25 บาท ที่ท่าอากาศยานตรังจาก 400 บาท เป็น 425 บาท