ส.อ.ท. ดันผลิต PHEV ชี้ตอบโจทย์คนไทย! จี้รัฐเข้มใช้ชิ้นส่วนในประเทศ

ข่าวยานยนต์ Friday October 17, 2025 17:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ว่า ส.อ.ท.พร้อมที่ส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตรถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ตามข้อเสนอของผู้ประกอบการ เนื่องจากเป็นประเภทรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย ที่จะใช้งานเฉลี่ยวันละประมาณ 100 กิโลเมตร และนิยมชาร์จไฟที่บ้านพักตัวเอง เนื่องจากจำนวนสถานีชาร์จยังไม่มีเพียงพอ ซึ่งเรื่องนี้ต้องเสนอความเห็นให้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) พิจารณา

การที่รัฐบาลส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกนั้น เป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว แต่อาจต้องปรับเรื่องควบคุมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้เข้มงวดมากขึ้น หรืออาจมีมาตรการจูงใจผู้ประกอบการมากขึ้น เพราะขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปไปเป็นพลังงานทางเลือก ผู้ประกอบการที่ผลิตชิ้นส่วนจำนวนมาก ยังไม่สามารถเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตได้ ซึ่งส่งผลให้ยอดจ้างงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ปัจจุบันลดลงจาก 5 แสนคน เหลือ 4 แสนคน

สำหรับบริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) ปัจจุบันได้เพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศเป็น 54% และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนฯ ให้มากขึ้น โดยเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ของจีน ที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากอันดับ 3 มาเป็นอันดับ 1

"ได้บอกให้ผู้บริหาร BYD คำนึงถึงการเป็นพันธมิตรร่วมกัน ด้วยการซื้อชิ้นส่วนในประเทศ ที่อาจมีราคาสูงกว่าการนำเข้าจากประเทศจีน" นายนาวา กล่าว

เมื่อ 7 ปีก่อน บริษัทผลิตรถยนต์ของจีนมีส่วนแบ่งทางการตลาดราว 2% หลังจากนั้น ได้ขยับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 12% หรือโตขึ้น 6 เท่าตัว และในปี 68 ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจจะไม่เติบโตดีนัก ก็คาดว่ายานยนต์พลังงานทางเลือกน่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดได้ราว 20%

นายเซียว ไก่ ผิว ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสำนักประธานกลุ่มบริษัท บีวายดี กล่าวว่า โรงงานแห่งแรกของบริษัทฯ ที่อยู่นอกประเทศจีน เริ่มทำการผลิตเมื่อวันที่ 4 ก.ค.67 ปัจจุบันผลิตรถยนต์ได้จำนวน 5 พันคัน/เดือน จากกำลังการผลิตทั้งหมดปีละ 1.5 แสนคัน มีคนงาน 5,800 คน เป็นคนไทย 92% และจะเพิ่มเป็น 96% ภายในปลายปีนี้ และใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 529 ชิ้น จากผู้ประกอบการ 35 ราย

ยอดผลิตที่ผ่านมาเป็นการชดเชยการนำเข้าตามโครงการ EV 3.0 และ EV 3.5 แต่เนื่องจากยอดขายในประเทศซบเซา ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา จึงได้เริ่มส่งออกไปสหภาพยุโรป ได้แก่ อังกฤษ เยอรมนี และเบลเยี่ยม ซึ่งขณะนี้ได้ส่งออกไปแล้ว 3,300 คัน และภายในปีนี้จะเร่งส่งออกให้ได้ 1 หมื่นคัน โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 40% ของการผลิตทั้งหมด

การตั้งโรงงานผลิตยานยนต์พลังงานทางเลือกในประเทศไทย น่าจะช่วยรักษาความเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่ติดอันดับ TOP 10 ของโลกไว้ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ