นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวว่า กรณีที่ประชาชนให้ความสนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" วันแรกเป็นจำนวนมากนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังที่มีต่อโครงการนี้ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจสอดรับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง รายได้ถดถอย ต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาล
แต่ทั้งนี้ ตนคิดว่าโครงการดังกล่าวจะตอบโจทย์ได้ 2-3 เรื่องในระยะสั้น คือ เป็นโครงการที่สามารถทำได้ทันที เพราะประชาชนคุ้นเคยกับโครงการนี้อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ก็มีระบบ "เป๋าตัง" รองรับสามารถใช้ได้ทันที และในอีกมุมก็คิดว่าเป็นเรื่องดี เพราะเป็นโครงการที่รับฟังเสียงสะท้อนจากฝ่ายค้าน นักวิชาการ ในการปรับเงื่อนไขให้ผู้ที่ยื่นแบบภาษีได้สิทธิมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ยื่นสิทธิภาษี ซึ่งทำให้ประชาชนที่จ่ายภาษีรู้สึกว่ามีอะไรเป็นพิเศษให้กับเขา แต่ต้องยืนยันว่าโครงการนี้มีประสิทธิผลค่อนข้างจำกัด
สิ่งที่อยากสื่อสารไปยังรัฐบาล คือ 1. ในมุมที่เป็นข้อดีโครงการนี้ สามารถทำได้ทันทีก็จริง แต่เป็นโครงการที่มุ่งกระตุ้น หรือเน้นผลระยะสั้นมาก หากไปดูงานวิจัยพบว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ GDP จะไม่ได้สูงมาก เพราะเป็นการโยกการใช้จ่ายใช้สอยของประชาชนเฉย ๆ จากเดิมที่ประชาชนซื้อร้าน ก. แต่วันนี้ร้าน ก.ไม่ได้อยู่ในโครงการคนละครึ่งพลัส แต่ร้าน ข.อยู่แทน คนก็หันไปซื้อที่ร้าน ข. สิ่งที่เกิดขึ้นคือจำนวนเงินที่ประชาชนใช้จ่ายเท่าเดิม ซึ่งจะไม่ได้ช่วยให้กระตุ้นเศรษฐกิจ หรือกระตุ้นการลงทุนใหม่ ๆ มากขึ้นเท่าไร และยังมีงานวิจัยว่าเงิน 1 บาทที่รัฐบาลกระตุ้นไป กระตุ้นได้แค่ 30 สตางค์
2.สิ่งที่ทำให้ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก คือ วงเงินที่จะจัดสรรมาใช้เป็นวงเงินที่โยกมาจากเงินโครงการอื่น ไม่ใช่เป็นวงเงินใหม่ อาจทำให้เป็นเรื่องที่ประสิทธิผลในการกระตุ้นไม่สูงนัก และ 3. ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากที่สนใจเข้าร่วมโครงการ แต่ไม่สามารถลงทะเบียนได้ และมีการไปต่อคิวเพื่อลงทะเบียนที่ธนาคารตั้งแต่ 05.00 น. แต่ธนาคารก็มีเสถียรภาพจำกัดในการดูแล เช่น บางที่อาจมีเพียงแค่ 50 คิว หรือบางทีอาจมีแค่ 100 คิว ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้ เป็นบุคคลสำคัญที่อาจต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลด้วยซ้ำ เพราะเป็นกลุ่มบุคคลที่อาจเข้าไม่ถึงโครงการดังกล่าว
นายสิทธิพล มองว่าโครงการนี้จะทำอย่างไรให้เกิดประสิทธิผลมาก เหมือนที่บอกว่ามีตัวเลขงานวิจัยที่นักเศรษฐศาสตร์ไปประเมินแล้วพบว่าที่ผ่านมาใช้เป็นแสนล้านบาท แต่สามารถกระตุ้นได้ค่อนข้างจำกัด ซึ่งสิ่งที่ต้องการจะทำ คือ หลังจากนี้ผลต่อเนื่องในระยะยาว โดยมี 2 เรื่องที่รัฐบาลควรทำ คือ เราพบว่าร้านค้าที่เคยเข้าระบบได้ ข้อดีในระยะยาวคือแม้ว่าเงินจะไม่มี รัฐไม่ได้สนับสนุนแล้ว แต่เมื่อประชาชนได้รู้จักแล้วเขาก็ยังซื้อต่อเนื่อง
"ช่วงเวลาที่เหลือ 2-3 เดือนนี้ สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ พยายามจูงใจให้ร้านค้าที่ไม่เคยเข้าสู่ระบบ ให้มาเข้าสู่ระบบได้ หากเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้ แม้ว่าโครงการจบไปแต่จะมีร้านค้าใหม่ ๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ และเรียนรู้ระบบเทคโนโลยี ต่อไปรัฐบาลอาจจะมีโครงการมาสนับสนุน ก็สามารถส่งมาตรการต่าง ๆ มายังช่องทางเหล่านี้ได้
และอีกเรื่อง คือ ต้องยืนยันว่าเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการยังกังวลเรื่องภาษี เพราะเขายังไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้ว หากมีคนมาใช้จ่ายกับเขาเยอะจะโดนภาษีย้อนหลังหรือไม่ ซึ่งแม้ประเด็นนี้แม้ว่านายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จะเคยระบุว่าไม่เอาประเด็นนี้มาดำเนินการแน่นอน แต่คิดว่ารัฐบาลต้องทำให้จริงจัง ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้ หากสามารถทำเช่นนั้นได้ ก็จะทำให้มีร้านค้าที่เข้ามาร่วมในระบบของโครงการดังกล่าวมากขึ้น และจะเกิดผลดีในระยะยาวกับร้านค้าเหล่านี้" นายสิทธิพล กล่าว
ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่า การทำโครงการนี้ของรัฐบาล จะไม่เข้าข่ายผิดเงื่อนไข MOA ที่จะทำให้เกิดความนิยมทางการเมืองเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น นายสิทธิพล กล่าวว่า หากเราเน้นประโยชน์ของประชาชน ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศ ก็จำเป็นจะออกนโยบายเพื่อทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ลง ซึ่งเป็นสิทธิ์เต็มที่ของฝ่ายบริหารที่จะดำเนินมาตรการต่าง ๆ ได้ แต่ข้อท้วงติงและข้อเสนอต่าง ๆ รัฐบาลจำเป็นจะต้องระมัดระวัง ย้ำว่าต้องทำให้ประชาชนที่อยากเข้าถึงโครงการดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้
นายสิทธิพล กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัส เป็นโครงการที่มีผลค่อนข้างจำกัด เป็นการช่วยเหลือเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาค่าครองชีพของประชาชนระยะสั้นเท่านั้น แต่ปัญหาเศรษฐกิจในวันนี้มีมากกว่านี้เยอะ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะเติบโตเพียงแค่ 0.3% คือต่ำมาก ถ้าดูครึ่งปีนี้และครึ่งปีหน้าในปี 2569 อาจจะโตรวมกันได้ประมาณ 1%
สัญญาณข้างหน้าที่อันตรายแบบนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องเตรียมมาตรการต่าง ๆ มารับมือ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ข้างหน้าภายใต้งบประมาณที่จำกัดเงินก็เอาไปใช้กระตุ้นระยะสั้นแล้ว ก็จะเป็นความยากของเศรษฐกิจไทย
"พรรคประชาชน ทยอยทำนโยบายเรื่องเศรษฐกิจมาโดยตลอด และเชื่อว่านโยบายของพรรคประชาชนที่เตรียมไว้ เป็นนโยบายที่ตอบโจทย์เป็นนโยบายที่ตอบโจทย์ระยะสั้น และระยะยาว มีวิธีการทำอย่างชัดเจน" นายสิทธิพล กล่าว