ส.อ.ท. ผนึกธปท. สกัดบาทแข็ง จี้คุม 3 ปัจจัยป่วนค่าเงิน กอบกู้ส่งออก-ดูแล SME

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday October 21, 2025 15:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ส.อ.ท. ผนึกธปท. สกัดบาทแข็ง จี้คุม 3 ปัจจัยป่วนค่าเงิน กอบกู้ส่งออก-ดูแล SME

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวภายหลังนำคณะผู้บริหาร ส.อ.ท.ร่วมพบปะหารือกับคณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำโดยนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท.ว่า การหารือร่วมกันจะช่วยสร้างความเข้าใจและช่วยลดช่องว่าง เพราะต่างเห็นพ้องต้องกันว่าภาวะเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นนนอน มีความผันผวน และแข่งขันรุนแรง ความร่วมมือมือกันจะช่วยให้ภาวะเศรษฐกิจเกิดเสถียรภาพ

โดย ส.อ.ท.ได้นำเสนอปัญหาที่ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาเงินบาทแข็งค่าผิดปกติไปจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1.การค้าทองคำ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ต้องมีมาตรการควบคุมให้เหมาะสม เช่น การค้าด้วยสกุลเงินดอลลาร์ที่จะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท 2.การซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี่ และ 3.การเคลื่อนย้ายทุนสีเทา

"จากครั้งก่อนที่เราเสนอให้ ธปท.เข้ามาดูแล เงินบาทก็อ่อนค่าลงมาระดับหนึ่ง ซึ่งคิดว่าหากมีมาตรการกวดขันเพิ่มขึ้นจะช่วยให้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับที่เหมาะสม" นายเกรียงไกร กล่าว

อัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน โดย ส.อ.ท.ได้แจ้ง ธปท.ไปว่าค่าเงินบาทที่มีความเหมาะสมในการแข่งขั้นอยู่ที่ 34-35 บาท/ดอลลาร์ แต่การดูแลค่าเงินบาทนั้นจะต้องให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม เพราะหากอ่อนค่ามากเกินไปจะถูกทางการสหรัฐฯ ตอบโต้ว่าใช้มาตรการที่ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนค่าเงิน

"เงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคส่งผลให้ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบต้องบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบ เนื่องจากค่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออก โดยเฉพาะในภาวะที่ประเทศคู่แข่งเผชิญมาตรการ Reciprocal Tariff" นายเกรียงไกร กล่าว

เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพาการส่งออก 60% ของ GDP และจากภาคท่องเที่ยว 10% ของ GDP ค่าเงินบาทแข็งเกินไป เป็นเรื่องที่ กกร.ส่งสัญญาณเรื่องนี้ตลอด เพราะประเทศต้องค้าขายต่างชาติ ถ้าบาทแข็งก็สร้างแรงกดดันต่อภาคส่งออกทันที สินค้าแพงขึ้น และยังกระทบการท่องเที่ยวด้วย ดังนั้นจึงต้องหาจุดสมดุลปรับค่าเงินบาทอย่าให้แข็งเกินไป โดยปัจจุบันยังขาดการ Connect the Dots ระหว่างหน่วยงานผู้รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรมที่ส่งผลต่อค่าเงินบาท ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรมศุลกากร และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

อย่างไรก็ตาม ธปท.แจ้งกลับมาว่าการดำเนินการบางเรื่อง ธปท.ไม่สามารถที่จะดำเนินการได้โดยลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นด้วย ซึ่งการขับเคลื่อนผ่านกลไกภาคเอกชนจะมีความคล่องตัวมากกว่า โดยขอให้ ส.อ.ท.ไปรวบรวมข้อมูลว่ามีประเด็นปัญหาอย่างไร และต้องใช้ความร่วมมือจากหน่วยงานใดบ้าง

*ผู้ว่าการ ธปท. ย้ำ 3 ภารกิจหลัก พร้อมร่วมหาแนวทางลดผลกระทบภาคธุรกิจ

ขณะที่นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ภารกิจหลักของ ธปท. คือ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) สร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อในระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดและให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง 2) สร้างเสถียรภาพทางระบบสถาบันทางการเงิน โดยสถาบันการเงินเข้มแข็ง มีความมั่นคง สามารถให้บริการลูกหนี้ ประชาชนและธุรกิจได้ต่อเนื่อง และดูแลไม่ให้เกิดจุดเปราะบางในระบบการเงิน และ 3) สร้างเสถียรภาพทางระบบการชำระเงิน ดูแลให้มีระบบมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และด้วยราคาที่สมเหตุผล

"วันนี้ เราอยู่ในจุดที่เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจต่าง ๆ เหมือนกัน และเราจะหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระดับที่เหมาะสม และเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศดำรงอยู่ได้" นายวิทัย กล่าว

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ธปท.มุ่งรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และไม่ให้ผันผวนมากจนส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ พร้อมเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาผลกระทบ ตลอดจนผลักดันมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

*ส.อ.ท.จี้รัฐเร่งปรับโครงสร้าง-หาตลาดใหม่ รับมือ Reciprocal Tariff

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวถึงผลหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ และสงครามการค้าว่า สิ่งที่กลุ่มอุตสาหกรรมกังวล คือ การใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่รายการสินค้ามีการบังคับใช้ที่ต่างกัน บางรายการบังคับใช้แล้ว บางรายการอยู่ระหว่างไต่สวน อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแล้ว ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม ยานยนต์และชิ้นส่วนไม้อัด ไม้บาง และวัสดุแผ่น เฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม หล่อโลหะเครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ประเมินผลกระทบต่อ GDP ไทยและประเทศคู่แข่งว่า

- กรณีแข่งขันไม่ได้ GDP ไทยอาจจะอยู่ที่ -0.77% การส่งออกไปสหรัฐฯ -15.4% สูญเสียตลาดส่งออกโลก -0.9% ทำให้การส่งออกทั้งหมด -2.6%

- กรณีแข่งขันไม่ได้ (กรณีที่ 2) GDP ไทยอาจจะอยู่ที่ -0.42% การส่งออกไปสหรัฐฯ -13.9% ทำให้การส่งออกทั้งหมด -1.37%

- กรณีแข่งขันได้ GDP ไทยจะอยู่ที่ -0.01% การส่งออกไปสหรัฐฯ -12.53% รวมทั้งสามารถชดเชยได้จากการขยายตลาดส่งออกในภูมิภาคอื่น

ข้อเสนอแนวทางการรับมือผลกระทบจากภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ นั้น ภาครัฐควรสนับสนุนข้อมูลให้กับผู้ประกอบการเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมของธุรกิจให้สามารถรองรับมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงผลักดันมาตรการทางการเงินเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัว (Transformation) ของธุรกิจและปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) พร้อมกับหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า

นอกจากนี้ยังเสนอให้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบในช่วงปรับตัวของผู้ประกอบการ เช่น การชะลอการจัดชั้นหนี้เป็นหนี้ที่มีปัญหา การปรับโครงสร้างสินเชื่อสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถรองรับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐฯ และการเปิดตลาดใหม่ได้ โดยสินเชื่อพิเศษดังกล่าวจะมุ่งช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้สามารถปรับตัวทางธุรกิจและปรับ Supply Chain ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านมูลค่าเพิ่มในประเทศ (RVC) ของสหรัฐฯ รวมถึงสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดใหม่แทนตลาดสหรัฐฯ

อีกทั้งมีแนวทางในการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทเพื่อคงขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนหรือแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค พร้อมส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging)

ในส่วนของข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ (Made in Thailand : MiT) โดยผลักดันการใช้สินค้า MiT อย่างจริงจัง โดยส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ใช้สินค้า MiT และกำหนดให้เป็นตัวชี้วัด (KPI) ที่ชัดเจนในมติคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้า MiT ผ่านระบบ e-bidding ภายใน 5 ปี รวมถึงให้ครอบคลุมถึงโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) พร้อมทั้งขยายตลาดสินค้า MiT สู่ภาคเอกชนภายใต้โครงการ "ซื้อของไทยเพื่อคนไทย" และผลักดันให้สินค้า MiT ก้าวสู่ตลาดโลก

นอกจากนี้ ยังเสนอให้จัดทำมาตรการสินเชื่อพิเศษสำหรับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า MiT เพื่อเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายในประเทศ

*เสนอมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำช่วย SME เฉพาะราย/ตั้งกองทุนช่วยเหลือ

นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวถึงมาตรการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการแก้ปัญหาหนี้ของผู้ประกอบการ SMEs ว่า จากการระดมความเห็นของสมาชิก ส.อ.ท.ทั้ง 5 ภูมิภาค พบว่าปัญหาหลักของผู้ประกอบการส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความรู้ ทักษะ นวัตกรรม บุคลากรเฉพาะทาง และเงินลงทุน ส.อ.ท.จึงได้เสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือ SMEs อย่างเป็นรูปธรรม โดยเสนอให้มีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแบบมีเป้าหมาย เปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หากปล่อยสินเชื่อให้กับ SMEs ที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ประกอบการด้านการส่งออก นวัตกรรม หรือธุรกิจสีเขียว

นอกจากนี้ ยังเสนอให้สร้าง "ระบบเครดิตทางเลือก" ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถใช้ข้อมูลในการประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยอ้างอิงจากข้อมูลยอดขายผ่าน e-commerce ข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม และการชำระค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าแรงของธุรกิจ พร้อมทั้งสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ "ธุรกิจสีเขียวและดิจิทัล" ด้วยการออกกรอบสินเชื่อพิเศษดอกเบี้ยต่ำ 2% สำหรับ SME ที่ลงทุนในพลังงานสะอาด การลดคาร์บอน ระบบอัตโนมัติ หรือการทำ Digital Transformation พร้อมปรับลดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาค SME

"การพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินควรดูเฉพาะราย อย่าใช้มาตรการเหมารวม" นายอภิชิต กล่าว

อีกทั้งยังเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการขยายพอร์ตการค้าประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จาก 30% เป็น 40% หรือปรับลดระยะเวลาการค้ำประกันต่อพอร์ตโฟลิโอลงจาก 10 ปี เหลือเพียง 5-7 ปี เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการเข้าถึงแหล่งทุน และเสนอให้จัดตั้ง "กองทุน SME" เพื่อใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ลดอุปสรรคเรื่องหลักประกันและขั้นตอนที่ซับซ้อน มีอัตราดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้กองทุนสามารถนำเงินหมุนเวียนกลับมาใช้ช่วยเหลือ SME รายอื่นต่อไป รวมถึงใช้ในการบริหารจัดการหนี้เสีย (NPL) อย่างมีประสิทธิภาพ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ