ธปท. ชี้มาตรการกระตุ้นศก.หนุน GDP ไตรมาส 4 โต 1.3% ยันแม้เงินเฟ้อต่ำ แต่ไม่ใช่ภาวะเงินฝืด

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday October 22, 2025 12:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธปท. ชี้มาตรการกระตุ้นศก.หนุน GDP ไตรมาส 4 โต 1.3% ยันแม้เงินเฟ้อต่ำ แต่ไม่ใช่ภาวะเงินฝืด

น.ส.ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะขยายตัวได้ 2.2% และยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องไปถึงปี 2569 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.6% โดยช่วงครึ่งแรกของปีนี้ (H1/68) เศรษฐกิจไทย ขยายตัว 3% ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก่อนที่สหรัฐฯ จะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ

ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังนี้ (H2/68) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงจากภาคการผลิต และภาคการส่งออก ที่เริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ แต่มองว่าภาคการท่องเที่ยวจะเริ่มทยอยฟื้นตัวได้ ทั้งนี้ คาดว่าไตรมาส 3/68 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 1.5% และไตรมาส 4/68 จะขยายตัวได้ 1.3%

ธปท. ชี้มาตรการกระตุ้นศก.หนุน GDP ไตรมาส 4 โต 1.3% ยันแม้เงินเฟ้อต่ำ แต่ไม่ใช่ภาวะเงินฝืด

โดยในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเข้ามาช่วยเพิ่มบรรยากาศการบริโภค การจับจ่ายใช้สอย และการท่องเที่ยวในประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" และ "เที่ยวดีมีคืน" ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่ม GDP ในช่วงไตรมาส 4 ได้ 0.2-0.3% และเป็นทำให้ GDP ไตรมาส 4 ขยายตัวได้ 1.3%

"มาตรการภาครัฐเข้ามาช่วย ซึ่งมีผลมากในช่วง Q4 ที่เริ่มต้นใช้มาตรการ...รวมแล้วผลน่าจะอยู่ที่ 0.2-0.3% ของไตรมาส 4 มาตรการนี้ช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน sentiment ในตลาดเริ่มคึกคักขึ้น ทั้งฝั่งพ่อค้าแม่ค้า และประชาชน ช่วยสร้างความหวังให้เศรษฐกิจไทยได้" น.ส.ปราณี ระบุ

น.ส.ปราณี กล่าวถึงแนวโน้มภาคการท่องเที่ยวว่า จะทยอยพื้นตัว โดยนักท่องเที่ยวระยะไกลยังขยายตัวได้ ประกอบกับนักท่องเที่ยวจีนเริ่มทยอยกลับมา โดยคาดว่าทั้งปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย จะอยู่ที่ 33 ล้านคน คิดเป็นรายรับ 1.4 ล้านล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน ราว 4.4 ล้านคน ส่วนปี 69 คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย เพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคน คิดเป็นรายรับ 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นนักท่องเที่ยวจีน 6 ล้านคน

ธปท. ชี้มาตรการกระตุ้นศก.หนุน GDP ไตรมาส 4 โต 1.3% ยันแม้เงินเฟ้อต่ำ แต่ไม่ใช่ภาวะเงินฝืด

ทั้งนี้ มีข้อมูลความเห็นจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวด้วยว่า คาดว่านักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4/68 ซึ่งมีสัญญาณการฟื้นตัวจากนักท่องเที่ยวจีน และผลจากการแก้ปัญหาด้านภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการ ยังมีความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ซึ่งจะส่งผลให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลง และกดดันต่อความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการประกอบธุรกิจมากขึ้น

  • แม้เงินเฟ้อต่ำ แต่ยังไม่ใช่ภาวะเงินฝืด คาดเงินเฟ้อเริ่มเป็นบวก Q2/69

ด้านนายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในปีนี้ จะอยู่ที่ 0.0% ส่วนปี 69 อยู่ที่ 0.5% และปี 70 อยู่ที่ 1% โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาส 2/69 และกลับเข้าสู่ขอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงินที่ระดับ 1-3% ได้ในช่วงปี 70

พร้อมมองว่า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจาก 3 สาเหตุสำคัญ คือ

1. การที่อัตราเฟ้อต่ำในปัจจุบัน เป็นผลจากราคาสินค้าที่ลดลงเพียงบางหมวด เช่น กลุ่มพลังงาน และอาหารสด (ผัก-ผลไม้) ในขณะนี้ราคาสินค้ากลุ่มอื่น ไม่ได้ปรับลดลงต่อเนื่องและในวงกว้าง

2. เครื่องชี้แรงกดดันด้านราคา ที่สะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อยังทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอดีต

3. เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%

นายสุรัช ชี้แจงว่า การที่องค์ประกอบของตะกร้าเงินเฟ้อไทย มีสัดส่วนของสินค้ากลุ่มพลังงาน และอาหารในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น จึงเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้เงินเฟ้อไทยต่ำ นอกจากนี้ ราคาสินค้าหมวดอาหารของไทยก็อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับต่างประเทศ อีกทั้ง Trend ราคาพลังงานไม่เร่งตัวขึ้นมาก ประกอบกับไทยมีมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานในบางช่วง

นอกจากนี้ การแข่งขันในด้านราคาสินค้า ก็เป็นตัวหนึ่งที่กดดันให้เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาสินค้าที่นำเข้าจากจีน ซึ่งต่ำกว่าราคาสินค้านำเข้าเฉลี่ยจากทุกประเทศ เช่น เครื่องสำอางค์ ผัก-ผลไม้ ท่ามกลางการแข่งขันด้านราคาที่อยู่ในระดับสูง

  • ต้องผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบาย แก้ปัญหาศก.-การเงินไทย

นายสุรัช กล่าวว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจการเงินของไทยในปัจจุบัน จะต้องใช้การผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบาย โดยนโยบายการเงิน จะต้องอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ต้องให้ความสำคัญกับการรองรับความเสี่ยง และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลาง ส่วนมาตรการด้านอัตราแลกเปลี่ยนนั้น จะต้องดูแลเงินบาทให้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่มาตรการด้านสถาบันการเงิน ธปท.ได้ดำเนินการอยู่ทั้งเรื่องการแก้หนี้ตามลักษณะของลูกหนี้ การพิจารณามาตรการเติมเงิน และการพิจารณาให้จัดตั้ง AMC รองรับหนี้เสีย เป็นต้น

สำหรับภาวะการเงินนั้น สถานการณ์สินเชื่อยังหดตัวต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ปรับลดลงตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ, ปัญหาการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ

พร้อมมองว่า การแก้ไขปัญหาให้กับภาค SMEs นั้น จะต้องใช้ทั้งนโยบายการเงิน ควบคู่ไปกับการใช้มาตรการเฉพาะจุด และมาตรการยกระดับศักยภาพของธุรกิจ SMEs ซึ่งการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงนั้น แม้จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ของ SMEs ได้บ้าง แต่ก็ได้รับผลที่น้อยกว่าภาคธุรกิจรายใหญ่ ดังนั้นการใช้มาตรการการเงินเฉพาะจุด และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้กับภาคธุรกิจ SMEs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องทำควบคู่กับนโยบายการเงิน

"นโยบายการเงิน เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง ที่จะต้องใช้ควบคู่กับนโยบายเฉพาะจุดอื่น ๆ...pain point ของ SMEs เป็นเรื่องของกำลังซื้อ การแข่งขันสูง ต้นทุนสูง ซึ่งเรื่องดอกเบี้ยอยู่ในลำดับท้าย ดังนั้นการแก้ไขปัญหาของ SMEs นั้น นอกจากจะใช้นโยบายดอกเบี้ยแล้ว การยกระดับศักยภาพของ SMEs จึงเป็นสิ่งจำเป็นในระยะยาว" นายสุรัช กล่าว

สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทนั้น ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งการที่เงินบาทเฉลี่ยแข็งค่าขึ้น มาจากนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ในระยะหลังเงินบาทเริ่มมีสัญญาณการอ่อนค่าลงบ้าง ซึ่ง ธปท.จะติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินต่อไป

นายสุรัช ย้ำว่า นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา สามารถรองรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง และยังอยู่ระหว่างการส่งผ่านไปสู่ภาคเศรษฐกิจ ซึ่งโดยปกติแล้วกว่าที่นโยบายการเงินในการปรับลดดอกเบี้ยจะส่งผ่านไปยังระบบเศรษฐกิจนั้น ต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ไตรมาส ทั้งนี้ จะต้องให้ความสำคัญกับจังหวะเวลา และประสิทธิผลของนโยบายการเงิน ภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายที่มีอยู่จำกัด แต่ก็พร้อมจะปรับให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวถึงกระแสข่าวความเชื่อมโยงของสถาบันการเงินไทยกับเงินเทา ว่า ธปท. ยืนยันว่าไม่มีนโยบายสนับสนุนสถาบันการเงินทำธุรกรรม หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสีเทาอยู่แล้ว อีกทั้งในเรื่องของปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป รวมทั้งตะวันออกกลาง ต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ซึ่งจะต้องเป็นความร่วมมือกันของหลายหน่วยงานในการป้องกันและแก้ปัญหา

"เรื่องนี้ มันใหญ่เกินกว่าที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะดูแลได้ ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เราเด็ดขาดไม่อยากให้มีเรื่องสีเทาในสถาบันการเงิน ซึ่งจะต้องดูแลควบคู่ไปกับหน่วยงานอื่น" นายปิติระบุ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ