
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 8 ต.ค.68 ซึ่งที่ประชุมฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี เนื่องจากคณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา สามารถรองรับความเสี่ยงได้ และอยู่ในระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจ
"กรรมการส่วนใหญ่ ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลา และประสิทธิผลของนโยบายการเงิน ภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้" รายงานกนง.ระบุคณะกรรมการฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.2% ส่วนปี 2569 ขยายตัวได้ 1.6% ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะชะลอลงจากสาเหตุดังนี้ (1) บางอุตสาหกรรมหยุดผลิตชั่วคราวในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 อาทิปิโตรเลียม ยานยนต์ และการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อปรับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (2) การส่งออกสินค้าเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ (3) การท่องเที่ยวฟื้นตัวช้า (4) การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลง
คณะกรรมการฯ แสดงความกังวลต่อเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ จากปัจจัยวัฏจักรและปัจจัยเชิงโครงสร้าง ได้แก่ (1) การส่งออกสินค้าที่จะเริ่มได้รับผลกระทบมากขี้นจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ (2) อุปสงค์ภายในประเทศที่แผ่วลง และ (3) ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย
- จับตาเงินเฟ้อต่ำต่อเนื่อง แม้ยังไม่เข้าภาวะเงินฝืด
ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจ SMEs ที่ยังขยายตัวต่ำ และมีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจลดลง โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของ SMEs ปรับลดลงกว่าครึ่ง เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตในช่วงก่อนโควิด-19 ขณะที่ธุรกิจรายใหญ่กลับมาขยายตัวได้ใกล้เคียงในระดับเดิม สะท้อนความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SMEs ที่ลดลง พร้อมกันนี้ ยังแสดงความกังวลต่อเศรษฐกิจที่ขยายตัวไม่ทั่วถึง โดยมีข้อสังเกตว่าการเติบโตกระจุกตัวในธุรกิจรายใหญ่ ขณะที่ SMEs เปราะบางมากขึ้น ซึ่งหากไม่สามารถปรับตัวได้ SMEs จะฟื้นตัวช้า และอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 0.0% ในปี 2568 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.5% ในปี 2569 โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% ได้ในช่วงต้นปี 2570 อย่างไรก็ดี ประเมินว่าความเสี่ยงที่ไทยจะเผชิญกับภาวะเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ โดยพิจารณาจาก 1) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ปรับลดลง เป็นผลจากราคาพลังงานและอาหารสดที่อยู่ในระดับต่ำ 2) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและเครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อ ยังทรงตัวใกล้เคียงอดีต และ 3) อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง ยังยึดเหนี่ยวในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%
คณะกรรมการฯ เห็นว่า แม้อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ มีสาเหตุหลักมาจากราคาพลังงาน และอาหารสด แต่ควรติดตามแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่อาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืด โดยเฉพาะในปัจจุบัน ที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวชะลอลง
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรสร้างความเข้าใจกับสาธารณชนให้ชัดเจนขึ้น เกี่ยวกับปัจจัยขับเคลื่อนเงินเฟ้อในบริบทปัจจุบันและนัยต่อเศรษฐกิจเพื่อคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืด เนื่องจากจะมีผลต่อการตัดสินใจสำหรับการบริโภคของภาคครัวเรือน ตลอดจนการตัดสินใจวางแผนธุรกิจและการลงทุนของภาคเอกชน และอาจมีนัยต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะปานกลาง
"คณะกรรมการฯ เน้นย้ำถึงหลักการสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงิน ที่ให้น้ำหนักกับการดูแลอัตราเงินเฟ้อระยะปานกลาง ให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย มากกว่าการติดตามเพียงเงินเฟ้อในระยะสั้น ซึ่งมักมีความผันผวน และเคลื่อนไหวตามปัจจัยที่นโยบายการเงินควบคุมได้จำกัด"- การประเมินภาวะการเงิน-เสถียรภาพระบบการเงิน
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในระบบสถาบันการเงินและตลาดการเงิน ปรับลดลงสอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมา แต่การส่งผ่านไปยังต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนแต่ละกลุ่ม มีความแตกต่างกัน สำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ SMEs ได้รับอัตราดอกเบี้ยลดลง แต่ลดน้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงกว่า
ด้านสินเชื่อโดยรวมหดตัวตามความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ การชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ และความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง โดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ ที่ปรับแข็งค่าขึ้นในบางช่วงเวลาส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออก โดยเฉพาะบางประเภทสินค้า โดยเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ ปรับแข็งค่าประมาณ 5% ตั้งแต่ต้นปี 2568 ส่งผลให้รายรับในรูปเงินบาท (conversion channel) ของธุรกิจส่งออกปรับลดลง โดยเฉพาะ SMEs ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งผลกระทบจะสูงในธุรกิจสินค้าส่งออกประเภทที่มีอัตรากำไรน้อย และพึ่งพาวัตถุดิบในประเทศเป็นสำคัญ เช่น เกษตร เกษตรแปรรูป และสิ่งทอ
ขณะเดียวกัน ค่าเงินบาทส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกสินค้าบางประเภท โดยสินค้าที่ความสามารถในการแข่งขันได้รับผลกระทบจากค่าเงินค่อนข้างมาก ได้แก่ สินค้าอาหารทะเลแช่แข็ง เกษตร และสิ่งทอ เนื่องจากเป็นสินค้าที่พึ่งพาการแข่งขันด้านราคา และเงินบาทแข็งค่าเทียบสกุลเงินประเทศคู่แข่ง
"คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อ และค่าเงินบาท ที่อาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสนับสนุนให้มีมาตรการทางการเงินเฉพาะจุด เพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง"- การพิจารณานโยบายการเงิน
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ อภิปรายในประเด็นสำคัญ ดังนี้
- เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมิน แต่มีแนวโน้มต่ำกว่าศักยภาพ
- อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง และคาดว่าจะอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายอีกระยะหนึ่ง จากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ
- ภาวะการเงินยังตึงตัวโดยเฉพาะสำหรับ SMEs
คณะกรรมการฯ เห็นร่วมกันว่า นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา ยังอยู่ระหว่างการส่งผ่านไปยังภาคเศรษฐกิจ ซึ่งปกติจะมีผลสูงสุดเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 4-6 ไตรมาส
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการและความเสี่ยงเศรษฐกิจการเงิน และพร้อมปรับนโยบายการเงิน ให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป