นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึง ความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่าลงทุน 224,544.36 ล้านบาทว่า ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน โดยเฉพาะประเด็นการปรับวิธีจ่ายเงินให้เอกชนจาก เงื่อนไขที่เอกชนต้องก่อสร้างให้เสร็จและเปิดเดินรถก่อน รัฐจึงจะจ่ายเงินค่าร่วมลงทุนเป็นการจ่ายตามงวดงาน หรือสร้างไปจ่ายไป ส่วนจะแก้ไขหรือไม่ ต้องหารือกับอัยการสูงสุดก่อน
กระทรวงคมนาคมจะต้องดำเนินตามความเห็นของอัยการสูงสุดอย่างเคร่งครัด ส่วนที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดอีอีซี) เห็นชอบหลักการแก้ไขสัญญา 6 ข้อนั้น ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ซึ่งขอยืนยันตามนโยบายและสัญญาเดิม เพราะไม่เช่นนั้น ทางผู้ประมูลที่ได้อันดับ 2 อาจจะมาฟ้องร้องรัฐได้
โดยขณะนี้ ตนมีนโยบายเพิ่มเติมเป็นแนวคิดว่า จะเจรจากับ บริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด (เอกชนผู้รับสัมปทาน) ให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะที่ 2 ส่วนต่อขยาย "อู่ตะเภา ไปจนถึง จ.ตราด" เพื่อเชื่อมต่อกับเมืองท่องเที่ยว เนื่องจากการขยายเส้นทางออกไป จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้มีผู้โดยสารเข้ามาใช้รถไฟความเร็วสูงเพิ่ม
นายพิพัฒน์ กล่าวว่าแนวคิดนี้ ได้หารือเบื้องต้นกับทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งภายในปลายเดือนต.ค.หรือต้นเดือนพ.ย.นี้ จะมีการประชุมอย่างเป็นทางการ กับอีอีซี การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และ บริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด เพื่อนำเสนอแนวคิดนี้อย่างเป็นทางการ และ ฟังความคิดเห็นว่าหากเอกชนเห็นด้วยกับการดำเนินการก่อสร้างโครงการระยะที่ 2 ไปยัง จ.ตราด ระยะทางเท่าไร จะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมอย่างไร และจะมีผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นอีกกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับที่เส้นทางสิ้นสุดที่อู่ตะเภา
"ตอนนี้ ทางเอกชน อาจจะคิดว่า ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน สิ้นสุดที่ อู่ตะเภา ผู้โดยสารอาจจะไม่มากจึงไม่คุ้มค่า แต่หากขยายเส้นทางออกไปถึงจ.ตราด ถึงชายแดนไทย ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยว และประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัด ที่จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสารให้ได้ อาจจะทำให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนมากขึ้น โดยข้อเสนอขยายเส้นทางไปถึงจ.ตราด ถือเป็นออปชั่นเสริม ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เอกชนรับได้หรือไม่ ก็มาหารือกันว่า จะมีการลงทุนเพิ่มเท่าไร จากการขยายระยะทางออกไปถึง จ.ตราด ในขณะเดียวกัน เอกชนจะให้ผลตอบแทนหรือผลประโยชน์กับภาครัฐอย่างไร และทางภาครัฐจะเสนออะไรให้เอกชน ก็ต้องมาเจรจากัน และการรถไฟฯ ต้องศึกษา"นายพิพัฒน์กล่าวว่า หากสามารถตกลงกันได้สำหรับส่วนต่อขยาย จะเป็นการทำสัญญาอีกฉบับไม่ใช่การเพิ่มเติมหรือแก้สัญญาเดิม และถือเป็นสัญญาใหม่เงื่อนไขใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับการประมูลเดิม เพียงแต่เจรจาหารือกับซีพี.(ผู้ถือหุ้นใหญ่เอเชีย เอราวัณ) ก่อน เพื่อให้โครงการรถไฟความเร็วสูงมีความคุ้มค่ามากขึ้น และทำให้การเดินทางด้วยรถไฟ ครบถ้วนมากขึ้น ดีกว่าการก่อสร้างแค่อู่ตะเภา
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มออปชั่นต่อขยายเส้นทางจากอู่ตะเภา ออกไปถึงจ.ตราด ไม่ใช่การเอื้อเอกชน แต่เป็นการเพิ่มแรงจูงใจ เพื่อให้มีผู้โดยสารเพิ่ม เพราะผู้โดยสารยังสามารถใช้ไฮสปีดเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวภาคตะวันออก และยังจะช่วยเพิ่มผู้โดยสารให้สนามบินอู่ตะเภาอีกด้วย ซึ่งจะทำให้การลงทุนคุ้มค่ามากขึ้น ยืนยันว่าจะหาข้อสรุปเรื่องรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินให้ได้ความชัดเจนภายในอายุรัฐบาล 4 เดือนนี้