ไทยเนื้อหอม! จ่อขึ้นแท่น "ฮับดาต้าเซนเตอร์" ดึงดูด Hyperscaler ทั่วโลกแห่ลงทุน

ข่าวเทคโนโลยี Wednesday October 29, 2025 11:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ไทยเนื้อหอม! จ่อขึ้นแท่น

บล.เกียรตินาคินภัทร (KKPS) เปิดเผยผลการพูดคุยกับบริษัทวิจัยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลก DCByte ว่า ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางดาต้าเซนเตอร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากกระแสการย้ายฐานการลงทุนของผู้ให้บริการขนาดใหญ่ (Hyperscaler) จากสิงคโปร์และยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีโครงการดาต้าเซนเตอร์รวมราว 4.5-4.6 กิกะวัตต์ ขณะที่ตลาดมาเลเซียอยู่ที่ประมาณ 8-9 กิกะวัตต์ (โดยยะโฮร์เพียงแห่งเดียวคิดเป็นกว่า 5 กิกะวัตต์) ส่วนสิงคโปร์มีตลาดขนาดเล็กกว่า 2 กิกะวัตต์ สะท้อนว่าไทยเริ่มขึ้นมาเป็น "จุดหมายถัดไป" ของการขยายดาต้าเซนเตอร์ในภูมิภาค

ไทยเนื้อหอม! จ่อขึ้นแท่น
*จุดแข็งของไทยเหนือประเทศเพื่อนบ้าน

สิงคโปร์จำกัดการเพิ่มกำลังผลิตใหม่ ขณะที่ยะโฮร์เริ่มเผชิญข้อจำกัดด้านพลังงานและทรัพยากร ส่งผลให้ผู้ประกอบการระดับโลกมองหาแหล่งลงทุนใหม่ที่มีความพร้อม ซึ่งประเทศไทยโดดเด่นในหลายด้าน ได้แก่

- ความมั่นคงด้านพลังงานและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่หนาแน่นกว่า

- กระบวนการอนุญาตที่ยืดหยุ่น

- ความหนาแน่นของประชากรต่ำกว่า ทำให้เหมาะต่อการตั้งดาต้าเซนเตอร์ขนาดใหญ่

- ในขณะที่ประเทศอื่นในภูมิภาคยังมีข้อจำกัด เช่น ฟิลิปปินส์เผชิญความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ อินโดนีเซียมีต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานสูง และเวียดนามยังมีกฎระเบียบซับซ้อน ไทยจึงถือเป็น "ตลาดที่สมดุลระหว่างศักยภาพและความเป็นไปได้เชิงปฏิบัติ" แม้ยังต้องพัฒนาในด้านมาตรฐานอุตสาหกรรม ความโปร่งใส และบุคลากรทักษะสูง

*ทำเลศักยภาพ กรุงเทพฯ และ EEC

การลงทุนในดาต้าเซนเตอร์ของไทยเริ่มขยายจากกรุงเทพฯ สู่พื้นที่โดยรอบ เช่น ปทุมธานี สมุทรปราการ และชลบุรี รวมถึงในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อย่างฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของโครงการขนาดใหญ่ (ตั้งแต่ 100 เมกะวัตต์ขึ้นไป) สำหรับงานด้าน AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง โดย

- กรุงเทพฯ เหมาะกับศูนย์ขนาดเล็ก รองรับบริการคลาวด์ ธนาคาร และคอนเทนต์ออนไลน์ที่ต้องการความเร็วสูง

- EEC โฟกัสโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานมากและมีศักยภาพรองรับเทคโนโลยีใหม่ในอนาคต

รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการจัดสรรพลังงานให้กับโครงการที่มีความพร้อมจริง และเตรียมเปิดระบบซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงในอนาคต เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น

*ตลาดเปลี่ยนทิศสู่ยุคของ Hyperscaler

ตลาดดาต้าเซนเตอร์ของไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากโมเดลโคโลเคชั่น (การเช่าพื้นที่ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์) มาสู่การลงทุนโดยตรงของผู้ให้บริการระดับโลกหรือ Hyperscaler ซึ่งปัจจุบันครองสัดส่วนกว่า 80% ของความต้องการทั้งหมด

- กลุ่มตะวันตก: Amazon Web Services (AWS) เริ่มก่อสร้างดาต้าเซนเตอร์ของตนเอง, Google ซื้อที่ดินและเตรียมเริ่มสร้างในไทย และ Microsoft ปรับแผนมาเช่าพื้นที่ในระยะสั้นเพื่อเริ่มดำเนินงาน

- กลุ่มจีน: ByteDance เป็นผู้ใช้รายใหญ่ที่สุด และ Alibaba และ Tencent ขยายการให้บริการผ่านพันธมิตรโคโลเคชั่นในไทย

*ข้อจำกัดการส่งออกชิปของสหรัฐฯ

แม้รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎควบคุมการส่งออกชิปประมวลผลขั้นสูง (GPU) เพื่อป้องกันการส่งต่อไปยังจีน ซึ่งอาจทำให้การนำเข้าชิปของไทยต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติม แต่ผลกระทบคาดว่าจะเป็นเพียงเชิงเทคนิค ไม่ใช่เชิงโครงสร้าง นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมั่นใจว่ากระบวนการอนุญาตสามารถบริหารจัดการได้ และไม่เป็นอุปสรรคต่อแนวโน้มการลงทุนด้าน AI และดาต้าเซนเตอร์ของไทยในระยะยาว

*KKP ชี้ "ดาต้าเซนเตอร์" คือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล

KKP มองว่า การลงทุนในดาต้าเซนเตอร์จะเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยจะสร้างแรงขับเคลื่อนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ควบคู่กัน

โดยดาต้าเซนเตอร์ คือโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต การที่ไทยถูกมองว่าเป็นจุดหมายใหม่ของ Hyperscaler ทั่วโลก ไม่เพียงสะท้อนความพร้อมด้านเทคโนโลยีและพลังงาน แต่ยังสะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ