 
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/68 ชะลอลงจากไตรมาสก่อน แต่ปรับดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาสโดยด้านอุปทานชะลอลง จากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงจากการหยุดผลิตชั่วคราวในบางสินค้า ส่งผลให้กิจกรรมในภาคบริการที่เกี่ยวข้องปรับลดลง ส่วนด้านอุปสงค์ชะลอลงตามอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน ประกอบกับรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ขณะที่การส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นจากหมวดอิเล็กทรอนิกส์
- ภาพรวมเศรษฐกิจเดือนก.ย.68
สำหรับเดือน ก.ย.68 เศรษฐกิจปรับดีขึ้น จากภาคการผลิตที่ทยอยกลับมาผลิต หลังจากการหยุดเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในช่วงก่อน ประกอบกับการส่งออกและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในประเทศชะลอลง ทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน

- การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นจากกลุ่มปิโตรเลียมและเครื่องดื่มที่กลับมาผลิตหลังหยุดผลิตชั่วคราว และการผลิตรถยนต์กลับมาเพิ่มขึ้นจากกลุ่ม EV ส่วนการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่การส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ที่ถูกเก็บ Reciprocal tariffs ชะลอลงหลายรายการ
- จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ และรายรับจากการท่องเที่ยว เพิ่มขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ (Short-haul) โดยเฉพาะมาเลเซียที่มีวันหยุดยาว และอินเดียที่มีการเพิ่มเส้นทางบินตรงใหม่ ด้านรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลเพิ่มขึ้น จากจำนวนวันพักที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมาเลเซีย และสิงคโปร์ ที่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว และพบว่าในระยะหลังมีการใช้รถยนต์ส่วนตัวเพื่อเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวตามภูมิภาคต่างๆ ในไทยมากขึ้น
- มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ในหลายหมวด อาทิ (1) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามการส่งออกอุปกรณ์โทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์ และเครื่องปรับอากาศไปสหรัฐฯ (2) ยานยนต์ ตามการส่งออกรถกระบะไปตะวันออกกลาง และชิ้นส่วนยานยนต์ไปอาเซียน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ และ (3) อัญมณีและเครื่องประดับ เพื่อจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าในฮ่องกง
อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรลดลงตามการส่งออกทุเรียนไปจีน และข้าวไปแอฟริกาใต้และอินโดนีเซีย และการส่งออกปิโตรเลียมลดลงตามการส่งออกไปมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ จากการเร่งส่งออกไปในเดือนก่อน สำหรับการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ที่ถูกเก็บ Reciprocal tariffs ชะลอลงหลายรายการมากขึ้น อาทิ สินค้าเกษตร ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และยานยนต์
- มูลค่าการนำเข้าสินค้าไม่รวมทองคำที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน จากหมวดวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางไม่รวมเชื้อเพลิง ตามการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีน เพื่อผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม ประกอบกับการนำเข้าหมวดสินค้าอุปโภคและบริโภคที่เพิ่มขึ้น ตามการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าและโทรศัพท์มือถือจากจีนเป็นสำคัญ ขณะที่การนำเข้าเชื้อเพลิง และสินค้าทุน ไม่รวมเครื่องบินปรับลดลงจากเดือนก่อน
- ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ
- อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.ย. ติดลบน้อยลงจากเดือนก่อน จากอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานที่ผลของฐานสูงในปีก่อนทยอยลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันเบนซินขายปลีกในประเทศ ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดใกล้เคียงกับเดือนก่อน ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เป็นบวกลดลงจากเดือนก่อน ส่วนหนึ่งจากการทำโปรโมชันอาหารโทรสั่ง และของใช้ส่วนตัว
- ภาวะตลาดแรงงาน การจ้างงานทรงตัวจากเดือนก่อน สะท้อนจากจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ใกล้เคียงเดือนก่อน ตามการจ้างงานในภาคบริการเป็นสำคัญ ขณะที่การจ้างงานในภาคการผลิตลดลงบ้าง โดยต้องติดตามการจ้างงานที่ยังคงลดลงในกลุ่มการผลิตสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันของสินค้านำเข้า สำหรับสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานรวม และรายใหม่ ต่อผู้ประกันตนทรงตัวจากเดือนก่อน
- ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล จากดุลการค้าที่เกินดุลเป็นสำคัญ โดยในเดือนก.ย.68 ไทยเกินดุลการค้า 3.6 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากส่งออก ได้เป็นมูลค่า 30.6 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่นำเข้า มีมูลค่า 27 พันล้านดอลลาร์
- ภาวะการเงิน
- อัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทเทียบกับดอลลาร์ในเดือน ก.ย. ค่าเงินบาทเฉลี่ยแข็งค่าจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ การเพิ่มคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าคาด รวมถึงปัจจัยเฉพาะภายในประเทศ หลังสถานการณ์ทางการเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้น
สำหรับเดือน ต.ค. (ข้อมูลถึง 27 ต.ค.68) เงินบาทปรับอ่อนค่าจากปัจจัยความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลกที่ปรับแย่ลง ทั้งจากสงครามการค้าและสถานการณ์การเมืองของฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ด้านดัชนีค่าเงินบาท (NEER) เฉลี่ยแข็งค่าในเดือน ก.ย. จากปัจจัยเฉพาะของไทยทั้งสถานการณ์การเมืองในประเทศ และราคาทองคำ ขณะที่ดัชนีค่าเงินฯ ปรับอ่อนค่าลงในเดือน ต.ค.
- การระดมทุนของภาคธุรกิจ โดยรวมปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนจากช่องทางสินเชื่อเป็นสำคัญ โดยการระดมทุนผ่านสินเชื่อสุทธิเพิ่มขึ้นตามการกู้ยืมเงินระหว่างบริษัทในเครือของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และผลิตเครื่องดื่ม ขณะที่การระดมทุนผ่านตลาดทุนเพิ่มขึ้นจากธุรกิจให้บริการทางการแพทย์และการโฆษณา ด้านการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ลดลง หลังจากที่เร่งไปในเดือนก่อนหน้า ในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT)
ต้นทุนการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ ตั้งแต่ 1 ก.ย. ถึง 27 ต.ค.68 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยทั้งระยะสั้นและระยะยาวเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าจะมีการชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ประกอบกับนักลงทุนสถาบันมีการปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยเน้นถือพันธบัตรระยะสั้นมากขึ้น ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวเพิ่มขึ้นมากกว่าระยะสั้น
- เชื่อ "คนละครึ่งพลัส" เป็น upside ศก.ไทย Q4/68
น.ส.ปราณี กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปว่า ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจาก 1.การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ทยอยกลับมาหลังจากหยุดผลิตไปชั่วคราวในก่อนหน้านี้ และส่งผลดีต่อภาคบริการที่เกี่ยวข้อง 2.การส่งออกสินค้า โดยเฉพาะในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ 3.ภาคการท่องเที่ยว และอุปสงค์ในประเทศ มีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
โดยในระยะต่อไปยังต้องติดตาม 1.การฟื้นตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม 2. ผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ 3. พัฒนาการในภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน และ 4.ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
น.ส.ปราณี กล่าวถึงแรงส่งต่อเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 จากผลของมาตรการ "คนละครึ่ง พลัส" ว่า ในเบื้องต้น ธปท.ได้รวมผลของมาตรการคนละครึ่งพลัส ไว้ในประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ที่การขยายตัว 2.2% แล้ว แต่หากในทางปฏิบัติจริงพบว่าประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าที่คาดไว้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น upside กับเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/68 ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังต้องจับตาดูต่อไป
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ ผลทางเชิงจิตวิทยาในเชิงบวก ที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น