รายงานข่าวจากบริษัทอู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนลเอวิเอชั่นจำกัด(UTA)ผู้รับสัมปทานโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกมูลค่า 290,000 ล้านบาท เปิดเผยว่าบริษัทฯยืนยันในการลงทุนพัฒนาโครงการฯแต่เงื่อนไขการรับมอบหนังสือให้เริ่มงาน(NTP)จากกองทัพเรือและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) หรือ อีอีซี ยังไม่เรียบร้อยซึ่งล่าสุดได้ขยายเวลาไปถึงเดือนธ.ค. 68 เพื่อให้ทางอีอีซีดำเนินการเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆและนำไปสู่การเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถนำไปโรดโชว์นักลงทุนได้
สำหรับเงื่อนไขการออก NTP ที่ให้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)เริ่มต้นด้วยนั้นจากการหารือกับอีอีซีตกลงไม่รอเงื่อนไขนี้แล้วรวมถึงหารือเรื่องการลดขนาดการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาในระยะแรกรองรับผู้โดยสารเริ่มต้นที่ 3 ล้านคน/ปีจากเดิมที่ 12 ล้านคน/ปี
รายงานข่าวจากUTAเปิดเผยว่าสำหรับแผนการบริหารสนามบินอู่ตะเภานั้น UTA ได้ว่าจ้างบริษัทนาริตะอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ตคอร์ปอเรชั่นประเทศญี่ปุ่นเข้ามาช่วยบริหารไว้แล้วและล่าสุดได้เพิ่ม Flughafen München GmbH (FMG)บริษัทผู้บริหารท่าอากาศยานมิวนิกหรือที่รู้จักในชื่ออย่างเป็นทางการว่าท่าอากาศยานฟรันซ์โยเซฟชเตราสส์(Franz Josef Strauss International Airport)ประเทศเยอรมนีเพื่อมาช่วยดูแลงานทางเทคนิคของสนามบินอีกทางหนึ่งด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่าในวันที่ 3 พ.ย.นี้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคมในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(บอร์ดอีอีซี)ได้นัดประชุมบอร์ดอีอีซีนัดแรกภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ซึ่งวาระการประชุมยังไม่มีอะไรมากส่วนใหญ่เป็นการรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานต่างๆ