MOU แร่หายากเสี่ยงทำไทยตกอยู่ในสงครามเทคจีน-สหรัฐ กังวลกระทบสิ่งแวดล้อม-ขาดแรงงานทักษะสูง

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday November 2, 2025 16:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลไทยไปทำบันทึกความเข้าใจกับสหรัฐอเมริกาหรือทำ MoU

แร่หายากจะเพิ่มความเสี่ยงของไทยในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา อาเซียนรวมทั้งไทยจะกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของมหาอำนาจ หากไทยเปิดรับการลงทุนด้านการสำรวจและผลิตแร่หายากตาม MoU จะทำให้"ไทย" กลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของสหรัฐฯซึ่งจะแข่งขันโดยตรงกับจีนที่มีอำนาจผูกขาดอยู่ในโครงสร้างตลาดขณะนี้
จีนครองส่วนแบ่งตลาด 86% ของแปรรูปแร่หายาก

นอกจากนี้ การที่"ไทย" ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีในการสำรวจ สกัดคัดแยกและผลิต ก็จะเป็นเปิดช่องทุนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติทางด้านนี้และสหรัฐอเมริกาเข้ามาครอบงำอุตสาหกรรมแร่หายากและเศรษฐกิจไทย ความอ่อนแอในเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยจะเปิดโอกาสให้มีการตักตวงส่วนเกินทางเศรษฐกิจโดยบรรษัทข้ามชาติผ่านระบบการค้าการลงทุนระหว่างประเทศได้

โครงการลงทุนเหมืองแร่หายากจะเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุด ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยจะไม่คุ้มกับความทรุดโทรมของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน กากพิษจากกระบวนการผลิตจะถูกทิ้งไว้ในแผ่นดินไทย ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขโดยแนวทางการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและเตรียมการสำหรับการรองรับการลงทุนให้ดีพอ

"ไทย" ในฐานะผู้ผลิตอันดับ 4 ของโลกจะกลายเป็น "หมาก" สำคัญในการเปลี่ยนเกมการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เราไม่ควรเป็นเพียง "หมาก" และ ผลประโยชน์จากการลงทุนจะเกิดต่อสาธารณชนโดยรวม เราต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายที่เหมาะสม มีการเตรียมความพร้อมและมีแนวทางชัดเจนในการรองรับผลกระทบด้านลบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนและคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งการรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ วางตัวเป็นกลาง และ หลีกเลี่ยงการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสงครามทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯกับจีน

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยจะได้ประโยชน์น้อยมากจากการเปิดให้มีการสำรวจและผลิตแร่หายากเพิ่มเติมหากไทยไม่มีอุตสาหกรรมไฮเทคต่อเนื่องมูลค่าสูง ไม่สามารถมีกระบวนการและกลไกในการถ่ายทอดเทคโนโลยี การเรียนรู้การสำรวจ การแปรรูป

การผลิต ผลกระทบด้านบวกจากการทำ MoU นั้นประกอบไปด้วย ผลประโยชน์จากการลงทุนต่อเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมสำรวจ แปรรูปแร่เพิ่มรายได้ภาครัฐ เกิดการพัฒนาต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้ง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

ส่วนผลกระทบด้านลบ อาจเกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งมีหลายมิติ การทำเหมืองแร่อาจก่อให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่า พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านการเกษตรกรรมอาจเปลี่ยนสภาพไป อาจเกิดมลพิษทางอากาศและทางน้ำ มีผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตประชาชนได้ ระบบการกำกับดูแลและระบบกฎหมายของไทยยังมีช่องโหว่และอาจสร้างปัญหาความปลอดภัยของชีวิตและสิ่งแวดล้อมในวงกว้างได้ นอกจากนี้การกำกับดูแลการใช้เทคโนโลยี ต้องให้มีการใช้เทคโนโลยีสำรวจและผลิตที่ก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อว่า ข้อน่ากังวลต่อ MoU นี้ คือ ไทยค่อนข้างเสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิการสำรวจและการลงทุน เงื่อนไขการยกเลิก รวมทั้ง ความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อมและทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจุบัน ไทยยังไม่มีวิธีการจัดการกากกัมมนตภาพรังสีที่ชัดเจน

หากกากแร่กัมมันตภาพรังสีเหล่านี้ปนเปื้อนในแหล่งน้ำใต้ดินและแหล่งน้ำผิวดินต่างๆจะเกิดผลกระทบรุนแรงในวงกว้าง

สาธารณชนส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้ว่าประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตแร่หายากอันดับ 4 ของโลกและมีมาตรการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างไร
โดยมีการนำเข้าหินจากเมียนมาและออสเตรเลีย แปรรูปแล้วส่งออก เป็นทางผ่าน ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยมากนัก

อย่างไรก็ตาม การจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ เราต้องมีการลงทุนทางด้านนวัตกรรมเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดในธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ไทยขาดแคลนแรงงานทักษะสูง ล่าสุด อุปสงค์ของแรงงานทักษะสูงเองชะลอตัวลงจากภาคการลงทุนชะลอตัวลง ภาคการลงทุนเติบโตช้าลงก็เป็นผลจากการที่เราขาดแคลนแรงงานทักษะสูง ผลิตภาพโดยรวมจึงต่ำทำให้ขาดศักยภาพในการลงทุนปัญหาจึงวนเวียนอยู่เช่นนี้ รัฐจึงควรกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมให้ชัดเจนและสร้างกลไกให้เกิดแรงจูงใจให้เอกชนไทยลงทุนพัฒนานวัตกรรม

นายอนุสรณ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า การที่รัฐบาลไทยไปทำข้อตกลงใดๆกับรัฐบาลต่างชาติต้องผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและกลไกรัฐสภาก่อน ส่วนการทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน หรือ MoU เรื่อง "แร่หายาก" นั้น แม้นยังไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมาย แต่เป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้นรัฐบาลจึงต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนก่อนการลงนาม การไปทำข้อตกลงใดๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ

ขอเสนอให้ใช้โมเดลพัฒนายั่งยืนแบบประชาธิปไตย เป็นโมเดลการพัฒนาที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เอา "คุณภาพชีวิต"
ของประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา

การพัฒนายั่งยืนแบบประชาธิปไตยจะช่วยสนองความจำเป็นของปัจจุบันโดยไม่ต้องเบียดบังความจำเป็นของอนุชนรุ่นหลัง ภาครัฐจะเปิดรับภาคประชาสังคมในการเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายมีการประนีประนอมผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่างๆตามหลักการประชาธิปไตย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ