นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) กล่าวภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าของแผนงานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่าลงทุน 224,544.36 ล้านบาท เกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดมีข้อสังเกต 18 ประเด็นที่ทุกฝ่ายต้องหาทางออกร่วมกัน ดังนั้น จะประชุมหารือร่วมกับารรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในฐานะเจ้าของโครงการ รวมทั้ง บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (ซี.พี.) ซึ่งเป็นเอกชนคู่สัญญา, อีอีซี และสำนักงานอัยการสูงสุด โดยจะนัดหมายประชุมทั้ง 5 ฝ่ายโดยเร็ว
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ EEC คาดว่าจะนัดหมายกันได้ภายในเดือน พ.ย.นี้ เพื่อให้มีข้อสรุปเสนอบอร์ดอีอีซีในการประชุม เดือน ธ.ค.68
สำหรับภาพรวมของโครงการตอนนี้ หลังจากอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาฯ และมีความเห็น 18 ข้อนั้น รฟท.และ ซี.พี.ได้นำมาหารือร่วมกัน ค่อนข้างจะเห็นตรงกันในหลายๆประเด็นแล้ว ส่วนที่ยังไม่ตรงกับที่อัยการสูงสุดให้ความเห็นมา ทาง รฟท.และซีพี.ก็จะทำหนังสือสอบถามกลับไปอีกครั้ง รวมถึงอาจจะหารือเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจด้วย โดยเห็นว่าความเห็น 18 ข้อมีบางข้อที่ที่อาจจะตึงเกินไป
ส่วนข้อเสนอของประธานบอร์ดอีอีซีที่ให้ต่อขยายโครงการออกไปถึง ระยอง จันทบุรี และตราดนั้น นายจุฬา กล่าวว่า ประธานบอร์ดอีอีซี บอกว่าอยากให้มองสนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์กลางของโครงการไฮสปีด 3 สนามบิน ไม่ใช่มองว่าเป็นปลายทาง เพราะถ้ามองว่าอู่ตะเภาเป็นศูนย์กลาง โครงการนี้ควรจะมีเส้นทางออกไป 2 ขา คือ ต่อขยายไปถึง จ.ตราด (โครงการระยะที่ 2) เชื่อว่าจะทำให้ผู้โดยสารมีมากขึ้นทั้ง 2 ขา คือ ฝั่งไป จ.ตราด และฝั่งเข้ากรุงเทพฯ แต่ประเด็นสำคัญก็ต้องพิจารณาถึงต้นทุนต่างๆ เพราะค่อนข้างใช้เงินทุนสูง อีกประมาณ 2 แสนล้านบาท ซึ่งก็ต้องหารือกับเอกชน และอาจจะต้องทำเป็นสัญญาใหม่
ด้านโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มี บจ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) เป็นเอกชนคู่สัญญานั้น ประธานบอร์ดอีอีซี ระบุว่าหลังแก้ปัญหารถไฟเชื่อม 3 สนามบินเสร็จแล้ว ก็จะเชิญผู้เกี่ยวข้องกับโครงการสนามบินอู่ตะเภามาพูดคุยเช่นกัน ขณะนี้มีข้อยุติว่าเอกชนจะตัดเงื่อนไขรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินออก เหลือประเด็นการลดสเกลการพัฒนาอาคารผู้โดยสารระยะที่ 1 ปรับขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารเหลือ 3 ล้านคน/ปี และการให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนต่างๆ กับ UTA ที่รอเสนอบอร์ดอีอีซี เห็นชอบ
นายจุฬา กล่าวว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปในปัจจุบันที่ส่งผลให้ UTA ต้องลดขนาดการพัฒนาโครงการในระยะแรกนั้น ทางเอกชนเห็นว่าต้องมีการศึกษาวิเคราะห์คาดการณ์อัตราการเติบโตของผู้โดยสารตลอดอายุสัมปทาน 50 ปีใหม่ว่าจะสามารถคงระดับไว้ที่ 60 ล้านคน/ปีหรือไม่ ซึ่งทาง UTA จะไปจ้างที่ปรึกษาศึกษาเอง คาดส่งผลการศึกษาได้ภายในเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งหลังจากนั้น ทางอีอีซี ต้องตรวจสอบผลการศึกษาของ UTA อีกครั้งด้วย