นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าว Kick Off โครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) กระทรวงสาธารณสุข (กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน จับมือร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการฯ พร้อมด้วยนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ และนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข ร่วมเป็นสักขีพยาน
โครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" มีเป้าหมายให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา และเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อยา ภายนอกโรงพยาบาลได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มมากขึ้น

นายอนุทิน ระบุว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ประชาชนมีทางเลือกด้านการรักษาพยาบาล รวมทั้งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีสุขภาพที่แข็งแรง และมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ตามที่ได้มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข ในการหาแนวทางแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด่านการรักษาพยาบาลร่วมกัน ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบาย Quick Big Win "กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว" ด้านการลดค่าครองชีพ ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา
"ในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการเปิดเผยรายการยา และค่ายา เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้รับบริการในโรงพยาบาลเอกชน สามารถตัดสินใจเลือกซื้อยาภายนอกโรงพยาบาลได้ อันเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งขณะนี้ มีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมแล้วมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ" นายกรัฐมนตรี กล่าวนอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการคัดเลือกร้านขายยาเข้าร่วมโครงการฯ โดยประชาชนสามารถนำใบสั่งยาจากโรงพยาบาลเอกชน ไปซื้อยาที่ร้านขายยาที่ลงทะเบียนกับทาง อย. และมีตราสัญลักษณ์โครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" ซึ่งขณะนี้มีจำนวนมากกว่า 3,400 ร้าน หรือผ่านช่องทาง Telepharmacy ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับสภาเภสัชกรรม โดยสามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับยา และราคายาได้ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าได้ซื้อยาจากร้านขายยาที่มีคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพได้ไม่น้อยกว่า 32,000 ล้านบาท/ปี

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลเชื่อมั่นว่าการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนในครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แบ่งเบาภาระค่าครองชีพ อันเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน