คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดเศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มขยายตัว 1.8-2.2% ตามที่ประเมินไว้ เดิม แม้การส่งออกโตได้ประมาณ 9.5-10.5% แต่เป็นสินค้าที่มี Local Content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้ เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% ขณะที่เงินเฟ้อต่ำเพียง -0.1 ถึง 0.1% ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง
อย่างไรก็ดีหากสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "คนละครึ่งพลัส" สนับ สนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาลจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัว ราว 10% นั้นเมื่อเข้าไปดูไส้ในแล้วพบว่าเป็นภาพลวงตา เนื่องจากเป็นการนำเข้ามาประกอบแล้วส่งออก ไม่ได้ใช้ชิ้นส่วนในประเทศ โดย จะเห็นได้จากการนำเข้าจากจีนขยายตัวมากถึง 30% ขณะที่ดัชนี MPI ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และอัตราการใช้กำลังการผลิตยังต่ำ อยู่ที่ 60%
"ตามปกติแล้วหากการส่งออกขยายตัวได้ขนาดนี้ (10%) จะส่งผลให้ GDP ขยายตัวได้ราว 2-3%" นายเกรียงไกร กล่าวนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ยอดส่งออกที่ขยายตัวสูงมาจากกลุ่ม สินค้าทองคำและอิเลคทรอนิกส์ ที่ไม่ได้ส่งเสริมเรื่องการผลิตที่ใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ทำให้ตัวเลข GDP เติบโตได้ไม่สูงนัก ไม่เหมือน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ของ กกร. %YoY ม.ค.-เม.ย.68 พ.ค.68 มิ.ย.68 ก.ค.68 ส.ค.-ต.ค.68 พ.ย.68 GDP 2.4 ถึง 2.9 2.0 ถึง 2.2 1.5 ถึง 2.0 1.5 ถึง 2.0 1.8 ถึง 2.2 1.8 ถึง 2.2 ส่งออก 1.5 ถึง 2.5 0.3 ถึง 0.9 -0.5 ถึง 0.9 -0.5 ถึง 0.3 2.0 ถึง 3.0 9.5 ถึง 10.5 เงินเฟ้อ 0.8 ถึง 1.2 0.5 ถึง 1.0 0.5 ถึง 1.0 0.5 ถึง 1.0 0.5 ถึง 1.0 -0.1 ถึง 0.1สมาคมธนาคารไทย ร่วมกับภาครัฐ และบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ให้ครัวเรือน หลุดพ้นจากกับดักหนี้ โดยยึดลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง (Debtor Centric) ด้วยการรวมศูนย์หนี้ไปที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) สำหรับลูกหนี้รายย่อย ผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) เพื่อแก้หนี้รายย่อยที่มียอดหนี้ NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท ครอบ คลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 3.4 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้รวม 122,000 ล้านบาท พร้อมมีแนวทางยกระดับรายได้ โดยมีแรงจูงและให้แต้ม ต่อเพื่อให้ลูกหนี้มีความพร้อมและสามารถเข้าสู่ระบบกลไกตลาดตามปกติ โดยมีการพัฒนาฐานข้อมูลศักยภาพของลูกหนี้ พร้อมมุ่งเน้นให้มีการ รวมประเภทหนี้ทั้งหมดจากเจ้าหนี้ทุกประเภทใบอนุญาต ที่เข้ามาในการแก้หนี้ในครั้งนี้
กกร.รับทราบความคืบหน้าโครงการ Reinvent Thailand ที่มุ่งเน้นขับเคลื่อน 6 อุตสาหกรรม (Priority Sectors) ที่บทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน ได้แก่ 1) เกษตรและอาหาร 2) ยานยนต์ 3) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 4) สุขภาพและการแพทย์ 5) ท่องเที่ยว และ 6) ค้าปลีก โดยมีเจ้าภาพผลักดันในแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมให้ความ สำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งทั้ง Supply Chain และผลักดันการช่วยเหลือในรูปแบบ "พี่ช่วยน้อง" ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยประคอง SMEs อีกทั้งเชื่อมโยงกับมาตรการช่วยเหลือและโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการปฏิรูป กฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ
เนื่องจากจะเป็นการปลดล็อคข้อจำกัดระบบราชการให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองความต้องการประชาชนได้ทัน เวลา พร้อมทั้งสนับสนุนการขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน ให้มีผลใช้ บังคับ รวมถึงสนับสนุนแนวทางปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ (Regulatory Guillotine) เพื่อยกระดับการ อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและการให้บริการประชาชนไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งสอดคล้อง กับนโยบายของรัฐบาลด้านการบริหารภาครัฐและการปฏิรูปกฎหมาย โดย กกร.จะดำเนินการร่วมกับนายบวรศักดิ์ อุวรรโณ รองนายก รัฐมนตรี เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
กกร.ไม่เห็นด้วยและกังวลกับร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment: RIA) อย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด และร่าง พ.ร.บ.โรงงาน ที่ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากข้อกำหนดทางกฎหมายใหม่ นอก จากนี้ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและลดความน่าสนใจของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่ ขณะที่การจัดทำกฎหมายที่ มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้างต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง พร้อมจัดทำการประเมินผลกระทบกฎหมาย (RIA) ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้กฎหมายมี ความสมดุลระหว่างการคุ้มครองและการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
"ในสัปดาห์หน้าวันพุธเวลา 10.00 น.ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนัดมาร่วมแถลงข่าวคัดค้านกฎหมายทั้ง 3 ฉบับที่หอการค้า" นาย